Jack Ma ประธานบริษัท Aliababa เป็นผู้ประกอบการชาวจีนคนแรกที่ได้ปรากฏอยู่บนหน้าปกหนังสือ Forbes Magazine และได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่รวยที่สุดในโลก
ต่อไปนี้คือประสบการณ์ของ Jack Ma
ก่อนที่ผมจะก่อตั้ง Alibaba ผมเชิญเพื่อน 24 คนมาที่บ้านเพื่อพูดคุยกันเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจ หลังจากพูดคุยไปได้สองชั่วโมง พวกเขายังงงไม่หาย อาจเป็นเพราะผมยังสื่อสารได้ไม่ชัดเจนมากนักในตอนนั้น เพื่อนจำนวน 23 คนจากทั้งหมด 24 คนบอกให้ผมยกเลิกความคิดนั้นไปซะ ด้วยหลายเหตุผล เช่น ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอินเตอร์เนต และผมยังไม่มีเงินทุนสำหรับบริษัท Startup ด้วยซ้ำ และเหตุผลอีกมากมาย
มีเพียงเพื่อนคนเดียวเท่านั้นที่บอกผมว่า “ถ้าหากนายอยากจะทำ ก็ลองทำ ถ้าหากมันไม่เป็นอย่างที่นายหวัง นายก็แค่กลับไปทำงานเดิมที่นายทำก่อนหน้านั้นก็ได้” ผมคิดถึงคำพูดนี้ตลอดคืนนั้น และในเช้าวันต่อมา ผมตัดสินใจที่จะลงมือทำ แม้หากว่าเพื่อนทั้งหมดของจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง ทั้งครอบครัวและเพื่อนต่างก็ไม่เห็นด้วยกับผมเลย เมื่อมองย้อนกลับไป ผมตระหนักว่าสิ่งที่เป็นแรงผลักดันที่สุดไม่ใช่ความมั่นใจในพลังของโลกอินเตอร์เนต แต่เป็นคำๆนี้ “ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ ประสบการณ์ที่ได้มาก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของมันเอง” คุณจำเป็นต้องลองทำ ถ้าหากไม่สำเร็จ คุณก็แค่กลับไปทำงานเดิมของคุณก็แค่นั้น
เหมือนกับคำกล่าวของ T.E. Lawrence ที่กล่าวไว้ว่า “ทุกๆคนฝัน แต่ไม่เท่ากัน คนที่ฝันตอนกลางคืน ในฝุ่นคลุ้งแห่งการหลบถอยของจิตใจนั้น ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฝันนั้นไม่ได้มีอะไร…. แต่ผู้ที่ฝันในเวลากลางวันนั้นเป็นคนที่อันตราย เพราะเขาจะโลดเล่นในความฝันด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง และทำให้มันเป็นไปได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมได้ทำ”
ผู้คนที่ล้มเหลวในชีวิตต่างก็มีสาเหตุ 4 สาเหตุด้วยกัน
- มองไม่เห็นโอกาส
- ดูถูกโอกาส
- ขาดความเข้าใจ
- ลงมือช้าเกินไป
คุณยากจนเพราะคุณไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน
ความทะเยอะทะยานทำให้ชีวิตของคนเรามีความหมาย เป็นเป้าหมายที่งดงามในชีวิตที่คนเราควรมี
ในโลกนี้มีเรื่องมากมายที่ยากเกินจะคาดเดา แต่ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ความทะเยอทะยานของคนๆหนึ่งเป็นตัวกำหนดอนาคตของคนๆนั้น
บทเรียนจากประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจของ Jack Ma
ความผิดพลาดที่ผมเสียใจที่สุด
เมื่อปี 2001 ผมทำผิดพลาดอย่างนึงคือ ผมบอกกับผู้ร่วมงานจำนวน 18 คนที่ร่วมเดินทางกับผมในตอนแรกว่า ตำแหน่งที่พวกเขาสามารถทำได้สูงสุดคือระดับการจัดการเท่านั้น ส่วนตำแหน่งรองประธานและตำแหน่งระดับสูงอื่นๆ ผมจะจ้างบุคคลภายนอกเข้ามาแทน
หลายปีต่อมา คนเหล่านั้นที่ผมจ้างลาออกไป ส่วนคนที่ผมสงสัยในความสามารถทั้ง 18 คนกลายมาเป็นรองประธานและกรรมการบริษัทแทน
ผมเชื่อในหลักการสองประการคือ
- ทัศนคติของคุณสำคัญกว่าความสามารถของคุณ
- การตัดสินใจของคุณสำคัญกว่าความสามารถของคุณเอง
แน่นอนว่าคุณไม่สามารถทำให้ทุกคนคิดออกมาเหมือนกันได้ แต่คุณสามารถทำให้ทุกคนคิดถึงเป้าหมายเดียวกันได้
- อย่าคิดว่าคุณจะสามารถทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
- 30% คือจำนวนคนที่จะไม่เชื่อในตัวคุณ อย่าให้คนอื่นทำงานเพื่อคุณ แต่จงให้พวกเขาทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
- เป็นการง่ายกว่าที่คุณจะรวมบริษัทให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้เป้าหมายเดียวกันมากกว่าเป็นหนึ่งเดียวภายใต้คนๆเดียว
สิ่งที่ผู้นำมี แต่พนักงานไม่มี
ผู้นำไม่ควรเปรียบเทียบทักษะของตนเองกับทักษะของพนักงาน เพราะพนักงานควรมีทักษะในการทำงานมากกว่าคุณ ถ้าหากพวกเขาไม่มีทักษะในการทำงานเหล่านั้น แสดงว่าคุณจ้างคนผิด!
สิ่งที่ทำให้ผู้นำโดดเด่นกว่าพนักงานคือ
- ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์และมองเห็นอนาคตได้ดีกว่าพนักงาน
- ผู้นำต้องอดทน จูงใจพนักงานได้ และไม่ยอมแพ้
- ผู้นำต้องยอมรับความล้มเหลวได้
คุณสมบัติของผู้นำที่ดีหลักๆคือ มีวิสัยทัศน์ แรงจูงใจ และความสามารถ
อย่ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
- ผู้คนควรเข้าใจว่า การเมืองกับธุรกิจไม่ควรเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อคุณอยู่ในเกมการเมือง จงอย่าคิดเรื่องเงิน เมื่อคุณอยู่ในธุรกิจ จงอย่าคิดเรื่องการเมือง
- เมื่อเงินบวกกับอำนาจทางการเมือง มันก็เหมือนกับระเบิดเวลาดีๆนี่เอง
4 แง่คิดสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่
- ความล้มเหลวคืออะไร?
- ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การยอมแพ้
- ความยืดหยุ่นคืออะไร?
- เมื่อคุณผ่านความยากลำบาก ความผิดหวัง และเศร้าโศกมาได้ ตอนนั้นคุณจะเข้าใจเอง
- หน้าที่ของเราคืออะไร?
- หน้าที่ของเราคือ ขยันให้มากขึ้น ทำงานหนักขึ้น และทะเยอทะยานเหนือผู้อื่น
- มีแต่คนโง่ที่ใช้ปากพูด คนฉลาดใช้สมอง คนที่ยิ่งใหญ่ใช้หัวใจ
เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต
ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงาน แต่คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต เราเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าเพื่อคนอื่นๆ ถ้าหากคุณใช้เวลาทั้งชีวิตทำงาน คุณจะต้องเสียใจแน่นอนในสักวัน
ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากมายสักแค่ไหน คุณต้องจดจำไว้เสมอว่า คุณเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ถ้าหากคุณทำงานตลอดเวลา แน่นอนว่าสักวันคุณจะต้องเสียใจ
คู่แข่งและการแข่งขัน
- คนที่แข่งขันกับคู่แข่งอย่างเอาเป็นเอาตายล้วนเป็นคนโง่สิ้นดี
- ถ้าหากคุณมองว่าทุกคนคือศัตรู คนทุกคนรอบตัวคุณจะกลายเป็นศัตรูของคุณ
- ถ้าหากคุณแข่งขันกับผู้อื่น อย่าใช้ความเกลียดชัง ความเกลียดชังมีแต่ทำลาย
- คู่แข่งก็เหมือนกับการเล่นหมากรุก ถ้าคุณแพ้ เราก็เล่นรอบใหม่ คู่แข่งทั้งสองไม่ควรสู้กันเอง
- นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่แท้จริงไม่มีศัตรู เมื่อพวกเขาเข้าใจสิ่งนี้ โลกและโอกาสก็เปิดกว้างสำหรับพวกเขา
อย่าบ่นจนเป็นนิสัย
ถ้าหากคุณบ่นนานๆครั้ง นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่ถ้าหากมันกลายเป็นนิสัยแล้วจะเป็นเรื่องแย่ คนควรสังเกตุว่าคนที่ประสบความสำเร็จล้วนไม่ใช่คนที่เอาแต่พร่ำบ่น
โลกนี้ไม่สนหรอกว่าคุณจะพูดอะไร แต่แน่นอนว่าโลกนี้จะไม่ลืมว่าคุณได้ทำอะไรลงไปบ้าง
คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ
- โอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็นคือโอกาสอย่างแท้จริง
- จงให้พนักงานทำงานด้วยรอยยิ้ม
- ลูกค้าคือสิ่งสำคัญที่สุด พนักงานสำคัญรองลงมา และผู้ถือหุ้นสำคัญน้อยที่สุด
- ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะถูกเปลี่ยนแปลง
- ลืมเรื่องการหาเงินไปได้เลย
- ใส่ใจและดูแลลูกค้าประจำ แทนที่จะไปค้นหาเทคนิคดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่
- ทัศนคติกำหนดอนาคตของคุณ
บนถนนของการเป็นผู้ประกอบการ
- โอกาสที่ยิ่งใหญ่ยากที่จะอธิบายให้ชัดเจน สิ่งที่อธิบายได้ชัดเจนมักไม่ใช่โอกาสที่ยิ่งใหญ่
- ควรมองหาคนที่มีทักษะสมบูรณ์แบบเพื่อเริ่มก่อตั้งบริษัทด้วย คนๆนั้นไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่จงค้นหาคนที่ใช่ ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด
- สิ่งที่ไว้ใจได้ยากที่สุดในโลกคือ มิตรภาพระหว่างมนุษย์
- ฟรี คือคำพูดที่แพงที่สุด
- วันนี้โหดร้าย วันพรุ่งนี้โหดร้ายกว่า แต่วันมะรืนจะงดงาม
4 สิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรทำ
- สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การไร้ซึ่งวิสัยทัศน์ มั่นใจเกินไป ขาดความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้
- ถ้าคุณไม่รู้จักคู่แข่ง หรือมั่นใจเกินไป หรือไม่รู้จักความสามารถของคู่แข่งดีพอ คุณจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง อย่าเป็น “พวกเขา” ในสุภาษิตนี้ “ในตอนแรกพวกเขาปฏิเสธคุณ จากนั้นพวกเขาหัวเราะคุณ จากนั้นพวกเขาก็รบกับคุณ สุดท้ายคุณเป็นผู้ชนะ”
- แม้ว่าคู่แข่งของคุณจะยังไม่เติบโตมากนัก คุณก็ควรระวังและถือว่าพวกเขาเป็นคู่แข่งจริงจัง
- ขณะเดียวกันถ้าหากคู่แข่งคุณเป็นยักษ์ใหญ่ คุณก็ไม่ควรมองว่าตัวเองเป็นแค่มดตัวเล็กๆเช่นกัน
การเริ่มต้นบริษัท
การเริ่มต้นบริษัทหมายความว่า คุณจะเสียรายได้ที่แน่นอน คุณไม่สามารถลางาน ลาหยุดยาว หรือเรียกร้องโบนัสได้
อย่างไรก็ตาม นั่นหมายความว่า รายได้ของคุณจะไม่จำกัด คุณจะได้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และคุณก็จะไม่ต้องทำงานให้คนอื่นอีกต่อไป
ถ้าหากคุณมี Mindset ที่แตกต่าง คุณจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง ถ้าหากคุณเลือกในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น ชีวิตคุณก็จะแตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน
โอกาส
ถ้าหากคนมากกว่า 90% มีความเห็นว่า “ใช่” สำหรับโครงการใดๆ ผมจะไม่เอาโครงการนั้นทันที เหตุผลง่ายๆคือ ถ้าหากคนจำนวนมากเห็นว่ามันดี แสดงว่ามีคนจำนวนมากกำลังทำสิ่งนั้นอยู่ และนั่นก็ไม่ใช่โอกาสสำหรับเราแล้ว
คุณยากจนเพราะคุณไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน
Fan Page: Brain Foods : อาหารสมอง
บทความนี้แปลจาก: Yahoo
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ทัศนะของแจ็คหม่า jack ma alibaba
แจ็คหม่า นักธุรกิจที่เริ่มต้นชีวิตจากคนธรรมดา ที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษและรับแปลเอกสาร ซึ่งมีรายได้ไม่ค่อยพอกับค่าใช้จ่าย จึงหาสินค้าต่างๆ มาขายหารายได้เสริม แต่ก็ช่วยให้พอถูๆ ไถๆ ไปได้ จากนั้นจึงเริ่มทำธุรกิจผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโดยการเปิดเว็บไซต์สมุดหน้าเหลือง แต่ก็เกิดอุปสรรคจนต้องยกเลิก นั่นคือการต่อสู้ของแจ็ค กว่าจะมาเป็นเจ้าของ alibaba และ aliexpress ผู้เชื่อมตลาดการค้าด้วยระบบเว็บไซต์ ที่ใหญ่ระดับโลก และนี่คือทัศนะของแจ็คหม่า
- หลายคนบอกว่า ปัญหาที่โลกเผชิญอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะ กระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมว่า เป็นเพราะ โลกาภิวัฒน์ ยังเดินไปไม่ถึงจุดสมบูรณ์ต่างหาก เพราะไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็กๆ ได้มีสิทธิ์มีส่วนร่วม
- ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกาภิวัฒน์ เกิดขึ้น ก็เพื่อบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศพัฒนาแล้ว // เราควรให้ โลกาภิวัฒน์ เป็นสิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วม เราควรช่วยให้คนรุ่นใหม่ บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสร่วมก้าวไปสู่ ความท้าทายด้วยกัน
- ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า โลกเราจะเป็นแบบนี้ Small is beautiful. Small is powerful. Small is wonderful. ยิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กยิ่งทรงพลัง ยิ่งเล็กยิ่งวิเศษสุด เพราะฉะนั้น เราควรให้บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสมากขึ้น เราควรให้ประเทศกำลังพัฒนา ได้มีโอกาสมากขึ้น และเราควรส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสมากขึ้น
- หลายพันปีก่อน เรามี Silk Road (เส้นทางสายไหม) ตอนนี้ เราควรมี e-road (เส้นทางอิเลคทรอนิคส์) เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กค้าขาย ทำธุรกิจได้ง่าย คล่องตัว
- ในอนาคต โลกจะมีการปฏิรูปเทคโนโลยี
ผมให้เวลา 50 ปี
: ช่วง 20 ปีข้างหน้า อินเตอร์เน็ต จะกลายเป็นของเก่า
: ช่วง 30 ปีจากนั้น โลกเราจะซื้อ-ขายปลีก ในรูปแบบใหม่ (new retail) คือ online กับ offline และเข้าสู่ยุคการผลิตใหม่ ที่เรียกว่า IOT (Internet of Things) มีระบบการเงินใหม่
- โลกในยุค IT เอเชียล้าหลังสหรัฐ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปไวเหมือนกบกระโดด เอาง่ายๆ 15 ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อว่า ธุรกิจ e-commerce ของจีน จะโตเร็วขนาดนี้ ก็ในเมื่อโครงสร้างสาธารณูปโภคเพื่อการค้าของจีน แย่สุดๆ
- ถ้าจะว่ากันไปแล้ว e-commerce ในสายตาสหรัฐ เปรียบเหมือน ของหวาน แต่ จีน มอง e-commerce เป็นอาหารจานหลัก เพราะอะไร ก็เพราะสหรัฐมีห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ทุกเมืองทั่วประเทศ อย่าง Walmart, Kmart แต่จีนเรา ไม่มีแบบนั้น
- ในยุคที่เครื่อง พีซี เฟื่องฟู ชาวนาชาวสวนเราไม่มี ใช้กันไม่เป็น แต่ยุคนี้ ชาวนาชาวไร่มีมือถือกันทั้งนั้น เชื่อมต่อการค้า กับคนทั่วโลก ได้มากกว่า 4,000 ล้านคน
- ไฟฟ้า ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในยุโรป แต่ไปใช้มากในอเมริกา อินเตอร์เน็ท คิดค้นในอเมริกา แต่มาใช้ประโยชน์กันมากในเอเชีย ถ้าคนเอเชีย ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้เต็มที่เต็มกำลัง คิดดู เราจะโตกันขนาดไหน ผมถึงมองว่า เอเชียนั้น มีศักยภาพ
- เราจะทำยังไงให้เอเชียเชื่อมต่อกับอนาคตได้? ผมมองอย่างนี้ อย่างที่ผมบอก คือ Small is beautiful. Small is powerful. Small is wonderful. ยิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กยิ่งทรงพลัง ยิ่งเล็กยิ่งวิเศษสุด .. โลกยุคข้อมูล เราต้องสู้กันด้วยความฉลาดและสมอง ไม่ใช่พลกำลัง คว้าโอกาสที่เห็น ขอให้มีหัวใจที่กล้าแกร่ง ขอให้เปิดใจกว้าง ขอแค่ยอมรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา ไม่ว่าบริษัทคุณจะเล็กแค่ไหน ประเทศเล็กด้อยเพียงไหน คุณสู้ได้แน่นอน
- หลายคนบอกว่า เทคโนโลยี ทำให้คนตกงาน ผมว่าไม่จริง เทคโนโลยี มีแต่จะยิ่งสร้างงาน ดูอย่าง อาลีบาบาของผม สร้างงานให้คนในประเทศมาแล้ว 13 ล้านตำแหน่ง // เทคโนโลยี จะเป็นปัจจัยสำคัญ ในการขจัดปัญหาความยากจนด้วยซ้ำ
ขอขอบคุณ : คุณแจ๊ค หม่า เจ้าพ่อ e-commerce นักธุรกิจ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มองอะไรๆ ทะลุปรุโปร่ง
ขอขอบคุณ : Facebook Saranrom Radio
- หลายคนบอกว่า ปัญหาที่โลกเผชิญอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะ กระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมว่า เป็นเพราะ โลกาภิวัฒน์ ยังเดินไปไม่ถึงจุดสมบูรณ์ต่างหาก เพราะไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็กๆ ได้มีสิทธิ์มีส่วนร่วม
- ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกาภิวัฒน์ เกิดขึ้น ก็เพื่อบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศพัฒนาแล้ว // เราควรให้ โลกาภิวัฒน์ เป็นสิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วม เราควรช่วยให้คนรุ่นใหม่ บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสร่วมก้าวไปสู่ ความท้าทายด้วยกัน
- ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า โลกเราจะเป็นแบบนี้ Small is beautiful. Small is powerful. Small is wonderful. ยิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กยิ่งทรงพลัง ยิ่งเล็กยิ่งวิเศษสุด เพราะฉะนั้น เราควรให้บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสมากขึ้น เราควรให้ประเทศกำลังพัฒนา ได้มีโอกาสมากขึ้น และเราควรส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสมากขึ้น
- หลายพันปีก่อน เรามี Silk Road (เส้นทางสายไหม) ตอนนี้ เราควรมี e-road (เส้นทางอิเลคทรอนิคส์) เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กค้าขาย ทำธุรกิจได้ง่าย คล่องตัว
- ในอนาคต โลกจะมีการปฏิรูปเทคโนโลยี
ผมให้เวลา 50 ปี
: ช่วง 20 ปีข้างหน้า อินเตอร์เน็ต จะกลายเป็นของเก่า
: ช่วง 30 ปีจากนั้น โลกเราจะซื้อ-ขายปลีก ในรูปแบบใหม่ (new retail) คือ online กับ offline และเข้าสู่ยุคการผลิตใหม่ ที่เรียกว่า IOT (Internet of Things) มีระบบการเงินใหม่
- โลกในยุค IT เอเชียล้าหลังสหรัฐ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปไวเหมือนกบกระโดด เอาง่ายๆ 15 ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อว่า ธุรกิจ e-commerce ของจีน จะโตเร็วขนาดนี้ ก็ในเมื่อโครงสร้างสาธารณูปโภคเพื่อการค้าของจีน แย่สุดๆ
- ถ้าจะว่ากันไปแล้ว e-commerce ในสายตาสหรัฐ เปรียบเหมือน ของหวาน แต่ จีน มอง e-commerce เป็นอาหารจานหลัก เพราะอะไร ก็เพราะสหรัฐมีห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ทุกเมืองทั่วประเทศ อย่าง Walmart, Kmart แต่จีนเรา ไม่มีแบบนั้น
- ในยุคที่เครื่อง พีซี เฟื่องฟู ชาวนาชาวสวนเราไม่มี ใช้กันไม่เป็น แต่ยุคนี้ ชาวนาชาวไร่มีมือถือกันทั้งนั้น เชื่อมต่อการค้า กับคนทั่วโลก ได้มากกว่า 4,000 ล้านคน
- ไฟฟ้า ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในยุโรป แต่ไปใช้มากในอเมริกา อินเตอร์เน็ท คิดค้นในอเมริกา แต่มาใช้ประโยชน์กันมากในเอเชีย ถ้าคนเอเชีย ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้เต็มที่เต็มกำลัง คิดดู เราจะโตกันขนาดไหน ผมถึงมองว่า เอเชียนั้น มีศักยภาพ
- เราจะทำยังไงให้เอเชียเชื่อมต่อกับอนาคตได้? ผมมองอย่างนี้ อย่างที่ผมบอก คือ Small is beautiful. Small is powerful. Small is wonderful. ยิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กยิ่งทรงพลัง ยิ่งเล็กยิ่งวิเศษสุด .. โลกยุคข้อมูล เราต้องสู้กันด้วยความฉลาดและสมอง ไม่ใช่พลกำลัง คว้าโอกาสที่เห็น ขอให้มีหัวใจที่กล้าแกร่ง ขอให้เปิดใจกว้าง ขอแค่ยอมรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา ไม่ว่าบริษัทคุณจะเล็กแค่ไหน ประเทศเล็กด้อยเพียงไหน คุณสู้ได้แน่นอน
- หลายคนบอกว่า เทคโนโลยี ทำให้คนตกงาน ผมว่าไม่จริง เทคโนโลยี มีแต่จะยิ่งสร้างงาน ดูอย่าง อาลีบาบาของผม สร้างงานให้คนในประเทศมาแล้ว 13 ล้านตำแหน่ง // เทคโนโลยี จะเป็นปัจจัยสำคัญ ในการขจัดปัญหาความยากจนด้วยซ้ำ
ขอขอบคุณ : คุณแจ๊ค หม่า เจ้าพ่อ e-commerce นักธุรกิจ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มองอะไรๆ ทะลุปรุโปร่ง
ขอขอบคุณ : Facebook Saranrom Radio
วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559
สยาม อาณาจักรไหนที่ชาติมหาอำนาจล่าอาณานิคมได้ยากสุด ,colonization
จากคำถามที่ว่า อาณาจักรไหนที่ชาติมหาอำนาจล่าอาณานิคมได้ยากสุดครับ?
สู่คำตอบ จากคุณ arawadee ที่ได้แก่นสารดังนี้
ยังยืนยันที่ "สยาม" ครับ
ประเทศที่ไม่ได้เป็นเกาะแบบญี่ปุ่น ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่และทหารนับล้านแบบจีน แต่มหาอำนาจกลับใช้กลเม็ดทุกอย่างที่เคยทำสำเร็จกับอาณานิคมอื่นๆมาแล้ว มาประเคนใส่สยาม แต่ผลคือ เอาสยามไม่ลง เริ่มจาก
ฝรั่งเศส
- ใช้ข้ออ้างเรื่องการกดขี่ศาสนาคริสต์และสังหารหมู่คณะบาทหลวง เข้ายึดตังเกี๋ย แต่ไม่สามารถใช้กับสยามได้ เพราะสยามให้เสรีภาพด้านศาสนามาตั้งแต่สมัยอยุธยา
- ใช้ข้ออ้างเรื่องรัฐบรรณาการ แบบที่ใช้ยึดสิบสองจุไทยหวังได้ลาวกับเขมรทั้งหมด แต่รัชกาลที่ 4 วางกลอุบายซ่อนลาว แล้วรีบขีดเขมรส่วนนอกให้ฝรั่งเศส ส่วนเขมรส่วนถือเป็นดินแดนสยาม กงสุลฝรั่งเศสรีบกระโดดรับทันที คิดว่าได้เปรียบแน่ๆ แต่ไปๆมาๆ กลับเป็นการรองรับสถานะรัฐบรรณาการของสยาม (ที่เดิม สยามไม่ได้ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของตน) ให้กลายเป็นดินแดนของสยามแบบไม่ตั้งใจ สื่อหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสด่ารัฐบาลโคชินไชน่าและกระทรวงอาณานิคมย่อยยับ
- เจอกดดันหนักๆเข้า รัฐบาลฝรั่งเศสจึงยอมหักดิบ สละมาดผู้ดี เอาเรือรบเข้าปากน้ำสยามและกำลังทางบกเข้ายึดที่มั่นข้าหลวงสยามในคำม่วน หวังให้สยามต่อสู้แบบที่เคยทำกับเวียดนาม แต่สยามกับนั่งเป็นเตมีย์ใบ้ ทางน้ำยิงพอหอมปากหอมคอ ทางบกกองทัพข้าหลวงที่อุบลและหนองคายไม่ยอมขยับ
- เรียกค่าปฏิกรรมสงครามแบบที่อังกฤษเคยเล่นงานพม่า เรียกเงิน 3 ล้านฟรังก์ (อังกฤษเรียกจากพม่าที่หนึ่งล้านปอนด์ รัฐบาลอังวะมีปัญญาจ่ายแค่สามสิบเปอร์เซ็น) ฝรั่งเศสคำนวนอยู่แล้วว่าสยามคงมีจ่ายอยู่หรอก เลยใช้กลอุบายบอกว่า เงินสามล้านที่ว่าขอเป็น "เงินกริ้งๆ" เอามาแต่เหรียญล้วนๆ ไม่รับธนบัตร หามาให้ได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงถ้าไม่ได้โดนเรือปืนยิงพระบรมมหาราชวัง ใครๆก็ฟันธงว่าสยามไม่รอด ในเอเชียตะวันออกใครจะมีเงินเหรียญถึง 3 ล้านฟรังก์ ถึงมีก็ไม่มีทางหามาได้ภายในเวลาแบบนั้น แต่...สยามมีจ่าย เงินเม็กซิกันเสียด้วย กริ้งๆเลย ทุกชาติงงเป็นไก่ตาแตก
- ได้ดินแดนลาวกับเขมรไป ซึ่งก็ได้แต่ดินจริงๆ ประชากรหายเกลี้ยง กะให้เป็นแหล่งปลูกข้าวแบบปากแม่น้ำโขงของเวียดนาม แต่...ดินแดนที่ได้จากสยาม มีแต่ภูเขา แม่น้ำโขงก็มีแต่เกาะแก่ง เอาเรือกลไฟล่องได้แค่เวียงจันทน์กับสะหวันนะเขต เรือเมล์ขาดทุนทุกปี ภาษีจากอันนัมเอามาเสียกับลาวและเขมรเยอะมาก
- มีแผนการณ์ที่จะเพิ่มพื้นที่ภาคอีสานเข้ากับโคชินไชน่า แต่เจอแรงกดดันจากจักรวรรดิรัสเซีย และแรงสนับสนุนสยามของจักรวรรดิออสเตรีย-เยอรมัน หนำซ้ำสยามยัง "เล่นการเมืองเป็น" โดยการยิงทะลุใจกลางฝรั่งเศส คือ ล๊อบบี้เจ้าราชนิกูลของราชวงศ์บูร์บงที่กลับมามีอิทธิพลอย่างลับๆในรัฐบาลฝรั่งเศสภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ทำให้กระทรวงอาณานิคมฝรั่งเศสถึงกับอึ้งเลยทีเดียว แผนการณ์กลืนดินแดนสยามจึงหยุดชะงักแบบนั้น
อังกฤษ
- เจออิทธิฤทธิ์จากรัฐบาลสยามครั้งแรกตอนสนธิสัญญาเบอร์นี่ ในสมัย ร.3 รัฐบาลอังกฤษด่าราชทูตเฮนรี่ เบอร์นี่ ที่ส่งไปจากสิงคโปร์แบบหัวเสีย ไปทำสัญญาบ้าอะไรกับสยาม ถึงทำให้บริษัทอังกฤษต้องจ่ายภาษีให้สยามมากกว่าจ่ายให้จีนอีก แถมเรืออังกฤษเข้าเมืองท่าสยามจะมีสินค้าหรือไม่ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปากเรือ แล้วยังต้องมาซื้อไม้สักจากพ่อค้าคนกลางคือรัฐบาลสยามอีก
- อังกฤษเตรียมแก้มือคืน โดยการแก้ไขสัญญาใหม่ และเตรียมนำเรือรบปิดปากอ่าวบีบให้ทำสัญญาแบบเดียวกับที่ทำกับจีน เป็นเชิงยั่วยุ มีหวังผลนิดๆว่าสยามจะฟิวขาดแบบพม่า แต่...เจอการทูตจากรัฐบาลสยามชุดใหม่ที่มาแบบงงๆ เกิดเป็นสนธิสัญญาเบาริ่งแบบงงๆ เช่นกัน
- ราชทูตอังกฤษที่เข้ามาสยามครั้งนั้น เซอร์จอห์น เบาริ่ง เจ้าเมืองฮ่องกง ผู้ที่เคยเล่นงานราชวงศ์ชิงจากการเป็นตัวตั้งตัวตีในสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ที่อังกฤษหวังให้เล่นงานสยามบ้างจากสนธิสัญญาเบอร์นี่ หลังย้ายออกจากฮ่องกง อยู่ๆก็ได้เป็นรับการแต่งตั้งเป็น "พระยาสยามานุกูลกิจ" ตำแหน่งอัครทูตสยามประจำลอนดอนคนแรก....เอากับสยามสิ แต่งทูตอังกฤษสายเหยี่ยว มาเป็นทูตตัวเองประจำอังกฤษ หนามยอกเอาหนามบ่ง ใครจะคิดบ้างล่ะ
- อังกฤษวางแผนใหม่ ใช้แผนที่เคยทำกับราชสำนักชิง โดยการปล่อยกู้ให้สร้างทางรถไฟแก่สยามในสมัย ร.4 ผลก็คือ...อ๋อ ไม่เป็นไร เรากำลังมีโปรเจคของเราในเร็วๆนี้ ขอบคุณมากสำหรับข้อเสนอ
- พม่าเคยเป็นตัวตลกในราชสำนักอังกฤษ ด้วยพระราชสาส์นพระเจ้ามินดงถึงพระราชินีวิกตอเรีย เรียกพระนางว่า "พระน้องนางเรา" ทำให้จะเจรจาอะไรก็ติดขัดไปหมด พอมาถึงคราวสยาม นอกจากพระราชสาส์นจะเป็นแบบประเทศทั่วไปในภาคพื้นยุโรปแล้ว ยังมีจดหมายน้อยจากพระเจ้าแผ่นดินสยามมาถึง พระนางเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งทวีปบริเตนและไอร์แลนด์ ผู้เป็นสหายของเรา นี่คือแสดงถึงความเป็นประเทศศิวิไลซ์ของสยามถึงขีดสุดเลยทีเดียว
- อังกฤษเจอสยามใช้วิธีขีดมลายูออกเป็น 2 ส่วน แบบที่ทำกับเขมร ผลคือ อังกฤษรับรองสถานะดินแดนสยามเหนือปัตตานีและมลายูตอนเหนือ
- อังกฤษเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ โดยใช้ไทใหญ่โมเดลในการพิชิตราชสำนักอังวะ พยายามจะสนับสนุนกลุ่มหัวเมืองล้านนาให้มาเป็นรัฐอารักขาแบบไทใหญ่ แต่เจอยุทธวิธีตั้งข้าหลวงต่างพระองค์ไปประจำการแบบรัฐบาลส่วนภูมิภาค เจ้าล้านนาขยับอะไรไม่ได้เลย
ปกติ ประเทศแถบนี้ จะใช้อังกฤษมาคานอำนาจฝรั่งเศส หรือใช้ฝรั่งเศสมาคานอำนาจอังกฤษ ซึ่งทั้งสองรู้กลยุทธ์นี้ดี และไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ประเทศเอเชียเด็ดขาด ผลก็คือ ทั้งสองประเทศแอบจับมือกันลับๆ ไม่ยอมตีกัน ซึ่งพม่าพิสูจน์มาแล้ว ที่ดันไปไว้ใจฝรั่งเศสในการคานอำนาจอังกฤษ ตอนอังกฤษจะยึดมัณฑเลย์ พม่าร้องหาฝรั่งเศสจนเฮือกสุดท้าย แต่พี่แกก็นั่งฉีกขนมปังมองดูเฉยๆ สำหรับสยาม......ล้ำกว่านั้นมาก รู้เช่นเห็นชาติสองมหาอำนาจนี้มานานแล้ว และสยามก็ยังรู้จักการเมืองในภาคพื้นยุโรปดีกว่าประเทศเอเชียอื่นๆ ด้วย คานอำนาจนั้นยังเป็นวิธีที่ดีแต่ต้องทำให้เป็น สยามจึงไปใช้มหาอำนาจที่เขาคานกันจริงๆกับฝรั่งเศสและอังกฤษ นั่นคือจักรวรรดิออสเตรีย-เยอรมันและจักรวรรดิรัสเซีย และไม่ได้ทำโดยการทูตธรรมดาๆ แต่พระเจ้าแผ่นดินสยามเข้ามาเล่นเกมส์นี้ด้วยพระองค์เองทีเดียว ให้ความสนิทสนมระหว่างพระราชวงศ์ต่อพระราชวงศ์ เรียกว่าแน่นแฟ้นมาก
ตอนนั้น สยามเป็นประเทศเดียวในเอเชียจริงๆ ที่เล่นเกมส์การเมืองแบบนี้ ฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็ไปไม่เป็นอีกเช่นกัน
เรื่องที่บอกว่า สยามรอดมาได้เพราะดวงล้วนๆ ฝรั่งเศสและอังกฤษจะใช้สยามเป็นรัฐกันชน อันนี้คือคำแก้เกี้ยวครับ
แนวคิดเรื่องรัฐกันชนมีจริงครับ แต่เป็นแค่ดินแดนเล็กๆบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ทั้งสองประเทศจะเหลือไว้ให้สยาม
อังกฤษหมายปองไม้สักจากล้านนา พอๆกับฝรั่งเศสหมายปองภาคอีสานของสยามนั่งแหล่ะ
แต่...ได้แค่มองเท่านั้น
จากกระทู้ http://pantip.com/topic/35662307/15
สู่คำตอบ จากคุณ arawadee ที่ได้แก่นสารดังนี้
ยังยืนยันที่ "สยาม" ครับ
ประเทศที่ไม่ได้เป็นเกาะแบบญี่ปุ่น ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่และทหารนับล้านแบบจีน แต่มหาอำนาจกลับใช้กลเม็ดทุกอย่างที่เคยทำสำเร็จกับอาณานิคมอื่นๆมาแล้ว มาประเคนใส่สยาม แต่ผลคือ เอาสยามไม่ลง เริ่มจาก
ฝรั่งเศส
- ใช้ข้ออ้างเรื่องการกดขี่ศาสนาคริสต์และสังหารหมู่คณะบาทหลวง เข้ายึดตังเกี๋ย แต่ไม่สามารถใช้กับสยามได้ เพราะสยามให้เสรีภาพด้านศาสนามาตั้งแต่สมัยอยุธยา
- ใช้ข้ออ้างเรื่องรัฐบรรณาการ แบบที่ใช้ยึดสิบสองจุไทยหวังได้ลาวกับเขมรทั้งหมด แต่รัชกาลที่ 4 วางกลอุบายซ่อนลาว แล้วรีบขีดเขมรส่วนนอกให้ฝรั่งเศส ส่วนเขมรส่วนถือเป็นดินแดนสยาม กงสุลฝรั่งเศสรีบกระโดดรับทันที คิดว่าได้เปรียบแน่ๆ แต่ไปๆมาๆ กลับเป็นการรองรับสถานะรัฐบรรณาการของสยาม (ที่เดิม สยามไม่ได้ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของตน) ให้กลายเป็นดินแดนของสยามแบบไม่ตั้งใจ สื่อหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสด่ารัฐบาลโคชินไชน่าและกระทรวงอาณานิคมย่อยยับ
- เจอกดดันหนักๆเข้า รัฐบาลฝรั่งเศสจึงยอมหักดิบ สละมาดผู้ดี เอาเรือรบเข้าปากน้ำสยามและกำลังทางบกเข้ายึดที่มั่นข้าหลวงสยามในคำม่วน หวังให้สยามต่อสู้แบบที่เคยทำกับเวียดนาม แต่สยามกับนั่งเป็นเตมีย์ใบ้ ทางน้ำยิงพอหอมปากหอมคอ ทางบกกองทัพข้าหลวงที่อุบลและหนองคายไม่ยอมขยับ
- เรียกค่าปฏิกรรมสงครามแบบที่อังกฤษเคยเล่นงานพม่า เรียกเงิน 3 ล้านฟรังก์ (อังกฤษเรียกจากพม่าที่หนึ่งล้านปอนด์ รัฐบาลอังวะมีปัญญาจ่ายแค่สามสิบเปอร์เซ็น) ฝรั่งเศสคำนวนอยู่แล้วว่าสยามคงมีจ่ายอยู่หรอก เลยใช้กลอุบายบอกว่า เงินสามล้านที่ว่าขอเป็น "เงินกริ้งๆ" เอามาแต่เหรียญล้วนๆ ไม่รับธนบัตร หามาให้ได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงถ้าไม่ได้โดนเรือปืนยิงพระบรมมหาราชวัง ใครๆก็ฟันธงว่าสยามไม่รอด ในเอเชียตะวันออกใครจะมีเงินเหรียญถึง 3 ล้านฟรังก์ ถึงมีก็ไม่มีทางหามาได้ภายในเวลาแบบนั้น แต่...สยามมีจ่าย เงินเม็กซิกันเสียด้วย กริ้งๆเลย ทุกชาติงงเป็นไก่ตาแตก
- ได้ดินแดนลาวกับเขมรไป ซึ่งก็ได้แต่ดินจริงๆ ประชากรหายเกลี้ยง กะให้เป็นแหล่งปลูกข้าวแบบปากแม่น้ำโขงของเวียดนาม แต่...ดินแดนที่ได้จากสยาม มีแต่ภูเขา แม่น้ำโขงก็มีแต่เกาะแก่ง เอาเรือกลไฟล่องได้แค่เวียงจันทน์กับสะหวันนะเขต เรือเมล์ขาดทุนทุกปี ภาษีจากอันนัมเอามาเสียกับลาวและเขมรเยอะมาก
- มีแผนการณ์ที่จะเพิ่มพื้นที่ภาคอีสานเข้ากับโคชินไชน่า แต่เจอแรงกดดันจากจักรวรรดิรัสเซีย และแรงสนับสนุนสยามของจักรวรรดิออสเตรีย-เยอรมัน หนำซ้ำสยามยัง "เล่นการเมืองเป็น" โดยการยิงทะลุใจกลางฝรั่งเศส คือ ล๊อบบี้เจ้าราชนิกูลของราชวงศ์บูร์บงที่กลับมามีอิทธิพลอย่างลับๆในรัฐบาลฝรั่งเศสภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ทำให้กระทรวงอาณานิคมฝรั่งเศสถึงกับอึ้งเลยทีเดียว แผนการณ์กลืนดินแดนสยามจึงหยุดชะงักแบบนั้น
อังกฤษ
- เจออิทธิฤทธิ์จากรัฐบาลสยามครั้งแรกตอนสนธิสัญญาเบอร์นี่ ในสมัย ร.3 รัฐบาลอังกฤษด่าราชทูตเฮนรี่ เบอร์นี่ ที่ส่งไปจากสิงคโปร์แบบหัวเสีย ไปทำสัญญาบ้าอะไรกับสยาม ถึงทำให้บริษัทอังกฤษต้องจ่ายภาษีให้สยามมากกว่าจ่ายให้จีนอีก แถมเรืออังกฤษเข้าเมืองท่าสยามจะมีสินค้าหรือไม่ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปากเรือ แล้วยังต้องมาซื้อไม้สักจากพ่อค้าคนกลางคือรัฐบาลสยามอีก
- อังกฤษเตรียมแก้มือคืน โดยการแก้ไขสัญญาใหม่ และเตรียมนำเรือรบปิดปากอ่าวบีบให้ทำสัญญาแบบเดียวกับที่ทำกับจีน เป็นเชิงยั่วยุ มีหวังผลนิดๆว่าสยามจะฟิวขาดแบบพม่า แต่...เจอการทูตจากรัฐบาลสยามชุดใหม่ที่มาแบบงงๆ เกิดเป็นสนธิสัญญาเบาริ่งแบบงงๆ เช่นกัน
- ราชทูตอังกฤษที่เข้ามาสยามครั้งนั้น เซอร์จอห์น เบาริ่ง เจ้าเมืองฮ่องกง ผู้ที่เคยเล่นงานราชวงศ์ชิงจากการเป็นตัวตั้งตัวตีในสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ที่อังกฤษหวังให้เล่นงานสยามบ้างจากสนธิสัญญาเบอร์นี่ หลังย้ายออกจากฮ่องกง อยู่ๆก็ได้เป็นรับการแต่งตั้งเป็น "พระยาสยามานุกูลกิจ" ตำแหน่งอัครทูตสยามประจำลอนดอนคนแรก....เอากับสยามสิ แต่งทูตอังกฤษสายเหยี่ยว มาเป็นทูตตัวเองประจำอังกฤษ หนามยอกเอาหนามบ่ง ใครจะคิดบ้างล่ะ
- อังกฤษวางแผนใหม่ ใช้แผนที่เคยทำกับราชสำนักชิง โดยการปล่อยกู้ให้สร้างทางรถไฟแก่สยามในสมัย ร.4 ผลก็คือ...อ๋อ ไม่เป็นไร เรากำลังมีโปรเจคของเราในเร็วๆนี้ ขอบคุณมากสำหรับข้อเสนอ
- พม่าเคยเป็นตัวตลกในราชสำนักอังกฤษ ด้วยพระราชสาส์นพระเจ้ามินดงถึงพระราชินีวิกตอเรีย เรียกพระนางว่า "พระน้องนางเรา" ทำให้จะเจรจาอะไรก็ติดขัดไปหมด พอมาถึงคราวสยาม นอกจากพระราชสาส์นจะเป็นแบบประเทศทั่วไปในภาคพื้นยุโรปแล้ว ยังมีจดหมายน้อยจากพระเจ้าแผ่นดินสยามมาถึง พระนางเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งทวีปบริเตนและไอร์แลนด์ ผู้เป็นสหายของเรา นี่คือแสดงถึงความเป็นประเทศศิวิไลซ์ของสยามถึงขีดสุดเลยทีเดียว
- อังกฤษเจอสยามใช้วิธีขีดมลายูออกเป็น 2 ส่วน แบบที่ทำกับเขมร ผลคือ อังกฤษรับรองสถานะดินแดนสยามเหนือปัตตานีและมลายูตอนเหนือ
- อังกฤษเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ โดยใช้ไทใหญ่โมเดลในการพิชิตราชสำนักอังวะ พยายามจะสนับสนุนกลุ่มหัวเมืองล้านนาให้มาเป็นรัฐอารักขาแบบไทใหญ่ แต่เจอยุทธวิธีตั้งข้าหลวงต่างพระองค์ไปประจำการแบบรัฐบาลส่วนภูมิภาค เจ้าล้านนาขยับอะไรไม่ได้เลย
ปกติ ประเทศแถบนี้ จะใช้อังกฤษมาคานอำนาจฝรั่งเศส หรือใช้ฝรั่งเศสมาคานอำนาจอังกฤษ ซึ่งทั้งสองรู้กลยุทธ์นี้ดี และไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ประเทศเอเชียเด็ดขาด ผลก็คือ ทั้งสองประเทศแอบจับมือกันลับๆ ไม่ยอมตีกัน ซึ่งพม่าพิสูจน์มาแล้ว ที่ดันไปไว้ใจฝรั่งเศสในการคานอำนาจอังกฤษ ตอนอังกฤษจะยึดมัณฑเลย์ พม่าร้องหาฝรั่งเศสจนเฮือกสุดท้าย แต่พี่แกก็นั่งฉีกขนมปังมองดูเฉยๆ สำหรับสยาม......ล้ำกว่านั้นมาก รู้เช่นเห็นชาติสองมหาอำนาจนี้มานานแล้ว และสยามก็ยังรู้จักการเมืองในภาคพื้นยุโรปดีกว่าประเทศเอเชียอื่นๆ ด้วย คานอำนาจนั้นยังเป็นวิธีที่ดีแต่ต้องทำให้เป็น สยามจึงไปใช้มหาอำนาจที่เขาคานกันจริงๆกับฝรั่งเศสและอังกฤษ นั่นคือจักรวรรดิออสเตรีย-เยอรมันและจักรวรรดิรัสเซีย และไม่ได้ทำโดยการทูตธรรมดาๆ แต่พระเจ้าแผ่นดินสยามเข้ามาเล่นเกมส์นี้ด้วยพระองค์เองทีเดียว ให้ความสนิทสนมระหว่างพระราชวงศ์ต่อพระราชวงศ์ เรียกว่าแน่นแฟ้นมาก
ตอนนั้น สยามเป็นประเทศเดียวในเอเชียจริงๆ ที่เล่นเกมส์การเมืองแบบนี้ ฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็ไปไม่เป็นอีกเช่นกัน
เรื่องที่บอกว่า สยามรอดมาได้เพราะดวงล้วนๆ ฝรั่งเศสและอังกฤษจะใช้สยามเป็นรัฐกันชน อันนี้คือคำแก้เกี้ยวครับ
แนวคิดเรื่องรัฐกันชนมีจริงครับ แต่เป็นแค่ดินแดนเล็กๆบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ทั้งสองประเทศจะเหลือไว้ให้สยาม
อังกฤษหมายปองไม้สักจากล้านนา พอๆกับฝรั่งเศสหมายปองภาคอีสานของสยามนั่งแหล่ะ
แต่...ได้แค่มองเท่านั้น
วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559
ทำไม อิสราเอล ถึงอยู่ได้ท่ามกลาง ประเทศอิสลาม และก่อการร้าย ขนาดประเทศมหาอำนาจยังถูกก่อการร้าย
ยิว ทำทะเลทรายให้เป็นป่า พัฒนาเกษตรกรรม จนเหลือมากพอที่สามารถส่งออกเป็นสินค้าเกษตรได้ทั้ง ๆ ที่เป็นทะเลทราย
ยิว สร้างคนจรจัดไร้แผ่นดินอยู่จนเป็นประเทศที่มี ศักยภาพสูงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และวิทยาการ บุคคลากร
ยิว สร้างประชากรให้มีคุณภาพเท่าเทียมกันทั้งชายและหญิง ให้ความสำคัญของการศึกษาประสบการณ์
และการคิดนอกกรอบเพื่อการพัฒนามากกว่าเรื่องบันเทิง 97 ต่อ 3
ยิว ไม่เกี่ยงเรื่องต้องทำสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาถ้าผลประโยชน์นั้นให้มองข้ามบางสิ่งไป
ยิว เคารพยกย่องผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และครูสอนศาสนา และผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า การคลั่งไคล้ดารา และสิ่งบันเทิง
ยิว ควบคุมโลก ด้วยเศรษฐกิจ และวิทยาการ บุคคลกร แต่ มักไม่แสดงตน
ยิว ทุกคนแม้แต่วัยรุ่นจะอาสาทำงาน เพื่อประเทศ ในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต
ยิว ที่มีเงินจะให้การสนับสนุน ให้ทุน กับเยาวชนเพื่อการพัฒนาต่อยอดเสมอ
ยิว เป็นชาติที่ มีความรอบคอบ ระวัง สังเกตุการณ์ และเตรียมรับมือกับภัยและการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดในโลก
ยิวจึงสามารถอยู่ได้ท่ามกลางศัตรู ท่านกลางภูมิประเทศที่โหดร้าย ได้
หากเอาคนคนไทยไปปล่อยกลางทะเลทราย และอยู่ท่ามกลางศัตรู
คนใต้อาจสูญพันธ์ภายใน 1 เดือน
คนภาคอีสานกลางตะวันออก ตะวันตกอาจ สูญพันธุ์ภายใน 1 อาิทตย์
คนภาคเหนือ อาจสูญพันธ์ ภายใน 1 วัน
cr. http://pantip.com/topic/34490846
ยิว สร้างคนจรจัดไร้แผ่นดินอยู่จนเป็นประเทศที่มี ศักยภาพสูงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และวิทยาการ บุคคลากร
ยิว สร้างประชากรให้มีคุณภาพเท่าเทียมกันทั้งชายและหญิง ให้ความสำคัญของการศึกษาประสบการณ์
และการคิดนอกกรอบเพื่อการพัฒนามากกว่าเรื่องบันเทิง 97 ต่อ 3
ยิว ไม่เกี่ยงเรื่องต้องทำสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาถ้าผลประโยชน์นั้นให้มองข้ามบางสิ่งไป
ยิว เคารพยกย่องผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และครูสอนศาสนา และผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า การคลั่งไคล้ดารา และสิ่งบันเทิง
ยิว ควบคุมโลก ด้วยเศรษฐกิจ และวิทยาการ บุคคลกร แต่ มักไม่แสดงตน
ยิว ทุกคนแม้แต่วัยรุ่นจะอาสาทำงาน เพื่อประเทศ ในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต
ยิว ที่มีเงินจะให้การสนับสนุน ให้ทุน กับเยาวชนเพื่อการพัฒนาต่อยอดเสมอ
ยิว เป็นชาติที่ มีความรอบคอบ ระวัง สังเกตุการณ์ และเตรียมรับมือกับภัยและการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดในโลก
ยิวจึงสามารถอยู่ได้ท่ามกลางศัตรู ท่านกลางภูมิประเทศที่โหดร้าย ได้
หากเอาคนคนไทยไปปล่อยกลางทะเลทราย และอยู่ท่ามกลางศัตรู
คนใต้อาจสูญพันธ์ภายใน 1 เดือน
คนภาคอีสานกลางตะวันออก ตะวันตกอาจ สูญพันธุ์ภายใน 1 อาิทตย์
คนภาคเหนือ อาจสูญพันธ์ ภายใน 1 วัน
cr. http://pantip.com/topic/34490846
วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ท่องจักรวาล ไขความลับดวงอาทิตย์ - secret of the sun
พลังงานฟรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมนุษย์เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมดวงอาทิตย์ให้ความร้อนได้ยาวนาน และจะดับลงเมื่อไหร่? ร่วมหาคำตอบได้ที่นี่
วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
LIGO Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory ยืนยันการตรวจพบคลื่นความโน้มถ่วงเป็นครั้งแรก
บทความโดย facebook.com/matiponblog/photos/a.255101608033386.1073741828.255096768033870/427749910768554/?type=3&theater
LIGO ยืนยันการตรวจพบคลื่นความโน
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2016 นี้ ทีมงาน LIGO (Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory) ได้ออกแถลงข่าวยืนยันการค้น
นอกจากการยืนยันการมีอยู่ขอ
แต่ว่าคลื่นความโน้มถ่วงคือ
- ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของไอสไตน์
ก่อนจะพูดถึงคลื่นความโน้มถ
ผลพลอยได้อย่างหนึ่งของการบ
- คลื่นความโน้มถ่วง
ถ้าการยืนบนเตียงของเราทำให
เช่นเดียวกัน การรบกวนในกาลอวกาศโดยมวลจำ
อีกวิธีหนึ่งที่สามารถเปรีย
โดยลักษณะของคลื่นความโน้มถ
- ความท้าทายในการศึกษาคลื่นค
อย่างไรก็ตาม การตรวจพบคลื่นความโน้มถ่วง
ลองนึกภาพมวลขนาด 29 เท่าของดวงอาทิตย์ แต่มีขนาดเพียงแค่ 150 กม. เคลื่อนที่ด้วยความเร็วครึ่
เมื่อรวมกันแล้ว มวลรวมสุดท้ายของหลุมดำนั้น
พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาโดย
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งพลังงานอันมหาศาล
ด้วยความท้าทายเหล่านี้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่อ
- LIGO
Laser Interferometer Gravitational-Wave Observatory (LIGO) เป็นเครื่องตรวจวัดคลื่นควา
การที่ใช้ท่อขนาดยาว 4 กม. นี้จะทำให้การยืดหดของกาลอว
การรวมตัวกันของหลุมดำที่ผ่
แต่แม้กระทั่งคลื่นความโน้ม
ความท้าทายหลักๆ ในการสังเกตคลื่นความโน้มถ่
ซึ่งการค้นพบในวันที่ 14 กันยายน 2015 นี้ทำให้เราสามารถยืนยันการ
- ต่อจากนี้
เมื่อ 400 ปีที่แล้ว กาลิเลโอได้ใช้กล้องโทรทรรศ
เช่นเดียวกัน การค้นพบคลื่นความโน้มถ่วงน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดที
ปัจจุบัน LIGO ยังมี sensitivity เพียงแค่ 1 ใน 3 ของที่ควรจะเป็นเพียงเท่านั
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของคลื่น
อย่างไรก็ตาม กำลังจะมีการสร้างเครื่องตร
การค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่ไ
ภาพ: LIGO, NSF, Aurore Simonnet (Sonoma State U.)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)