วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การระวังป้องกันภัยในช่วงฤดูฝน - disaster rainy season

ภาพจาก  http://goo.gl/KwBhwp

ฤดูฝนของทุกปีจะเริ่มกลางเดือนพฤษภาคม
          เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เริ่มพัดเข้าปกคลุมประเทศไทยซึ่งเป็น  สาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน และสิ้นสุดฤดูฝนลงประมาณกลางเดือนตุลาคม ฤดูแห่งความชุ่มชื้นเป็นจุดเริ่มของเกษตรกรรม ทำไร่นาสวน ที่เป็นอาชีพหลักของไทยเรา นอกจากคุณอนันต์จากความชุ่มชื้นของสายฝน ยังมีภัยธรรมชาติหลายอย่างเลยทีเดียวที่มาพร้อมกับฝน เช่นน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน  ดินโคลนถล่ม พายุลมกรรโชกแรง ลูกเห็บ หรือโรคต่างๆ ที่มักเกิดในฤดูนี้ เป็นต้น เรียกว่ามีทั้งคุณทั้งโทษ ความพร้อมที่จะรับมือกับภัยธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะบ่อยครั้งที่เกิดความเสียหายรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก

ภัยธรรมชาติรับมือได้ด้วยการเตรียมพร้อม
    1. หมั่นติดตามพยากรณ์อากาศและประกาศแจ้งเตือนภัยอย่างสม่ำเสมอ
    2. ตรวจสอบบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง หากพบว่ามีต้นไม้ ป้ายโฆษณาและเสาไฟฟ้าอยู่ในสภาพเสี่ยงต่อการหักโค่น ให้แจ้งหน่วยงานที่เกียวข้องดำเนินการ
    3. ฝนตกมากว่า 3 ชั่วโมงติดต่อกัน และยังคงมีแนวโน้มตกต่อเนื่อง ซึ่งต้องเป็นสภาพผิดปกติ ควรหาภาชนะรองรับน้ำฝน เช่น กาละมัง วางตั้งไว้กลางแจ้งประมาณ 1 ชั่วโมง  ใช้ไม้บรรทัดไปวัดว่าสูงขึ้นมาจากก้นกาละมัง กี่เซนติเมตร หากสูงกว่า 5 เซนติเมตร จะต้องเตรียมพร้อมระวังภัยธรรมชาติ และคอยตรวจวัด ทุกชั่วโมง หากยังสูงเกิน 9 เซนติเมตร ดินจะซับน้ำไว้มากแล้ว
    4. หากระดับน้ำสูงขึ้นผิดปกติ รวดเร็ว และน้ำเปลี่ยนสีเป็นสีแดงไหลแรง มีเศษไม้ไหลลงมาด้วย เป็นสัญญาณของน้ำป่าไหลหลาก และมีดินโคลนไหลลงมาด้วย  ถ้าหากอยู่ในที่ต่ำและเสี่ยงที่กระแสน้ำจะพัดให้รีบทำการอพยพไปที่สูง
    5. ควรสำรอง อาหาร น้ำสะอาด ยารักษาโรค วิทยุกระเป๋าหิ้ว ไฟฉาย ไว้ในบ้านและใช้ได้หากไฟฟ้าดับ
    6.  ไม่เข้าใกล้บริเวณที่มีเสาไฟฟ้าล้มหรือเสาไฟฟ้าขาด  เพราะอาจได้รับอันตรายจากกระแสไฟฟ้ารั่วไหล หากมีต้นไม้หักโค่นเสาไฟฟ้าล้ม สายไฟฟ้าขาดให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซ่อมแซมโดยด่วน
    7. ห้ามเข้าใกล้บริเวณที่เกิดดินโคลนถล่มหรือบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย เพื่อป้องกันอันตรายจากการพังทลายซ้ำ

โรคที่มากับหน้าฝน
ซึ่งมีทั้งเชื้อโรคและโรคที่เกิดจากความเปียกชื้น เช่น

1.  โรคไข้สมองอักเสบ
          เกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด แต่ชนิดที่น่ากลัวและร้ายแรงที่สุดมีชื่อว่า JAPANESE B ENCEPHALITIS หรือ JBE (เจบีอี) ไวรัสจะแพร่เชื้อในหมูโดยมีพาหนะนำเชื้อสู่คนคือ ยุงคิวเล็กซ์ เมื่อรับเชื้อแล้วจะมีระยะฟักตัว 5-14 วัน จึงเริ่มแสดงอาการป่วย ปวดเมื่อยอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน ซึม หงุดหงิดถึงชักเกร็งกระตุก จนอาจเป็นอัมพาตได้ และมีการทำลายสมอง กลายเป็นเจ้าหญิงหรือ เจ้าชายนิทราในที่สุด
    วิธีป้องกัน คือ ทำลายแอ่งน้ำที่เพาะพันธุ์ยุง อย่าให้มีน้ำขัง ส่วนการฉีดวัคซีนป้องกันต้องอยู่ภายใต้การแนะนำ และดูแลอย่างใกล้ชิด

2. โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
         หมายถึง ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระผิดปกติ ซึ่งอุจจาระที่ถ่ายออกมานั้นจะมีลักษณะเหลวจำนวน 3 ครั้งติดต่อกัน หรือมากกว่าหรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้ง ใน 1 วัน หรือถ่ายเป็นมูก หรือปนเลือด อย่างน้อย 1 ครั้ง สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อในลำไส้ จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว ปรสิต และหนอนพยาธิ

3. โรคปอดอักเสบ   
         โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า ปอดบวม หมายถึง การอักเสบของเนื้อปอด   มีหนองขัง บวม จึงทำหน้าที่ไม่ได้เต็มที่ ทำให้การหายใจสะดุด เกิดอาการหายใจหอบ เหนื่อย อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ จึงนับว่าเป็นโรคร้ายเฉียบพลันชนิดหนึ่ง

ควรระวังในการรับประทานเห็ดหน้าฝน
บางชนิดกินได้ บางชนิดมีพิษรุนแรง
         ในช่วงฤดูฝนเห็ดจะพากันงอกงามกันหลากหลายชนิด บางชนิดกินได้คุ้นตากัน บางชนิดมีพิษรุนแรง ถึงชีวิตเลยก็มี และในช่วงนี้เราจะเห็นตลาดเห็ดคึกคักมีให้เลือกมากมายหลายราคา แต่ควรต้องให้ความสำคัญมากๆ ในการเลือกมารับประทาน อย่างเช่นเห็ดอันตรายดังนี้  เห็ดระโงกหิน หรือเห็ดไข่ตายซาก, เห็ดหัวกรวดครีบเขียวอ่อน, เห็ดไข่ห่าน การเลือกรับประทานเห็ดก็ควรต้องใส่ใจ และใช้ความระมัดระวังให้มาก ถ้าไม่รู้จักเห็ดชนิดนั้นดีพอก็ไม่ควรบริโภคโดยเด็ดขาด หรือแม้จะรู้จักเห็ดชนิดนั้น แต่ถ้าขึ้นในป่าลึก หรือในเขตโรงงานอุตสาหกรรม บริเวณที่มีแหล่งน้ำเสีย ก็ไม่ควรนำเห็ดนั้นมารับประทาน การรู้จักเลือกอย่างระมัดระวังจะช่วยให้ปลอดภัยจากเห็ดพิษได้
       การช่วยเหลือผู้ป่วยที่รับประทานเห็ดพิษนั้น เบื้องต้น สามารถทำได้หลายวิธี ถ้ากินเห็ดพวกที่มีพิษไม่รุนแรง อาการเด่นชัดที่เห็นภายใน 1-2 ชม. คือ การอาเจียน ท้องเสีย วิธีการช่วยเหลือเบื้องต้น ถ้าสามารถทานได้ ก็ให้ทานน้ำเปล่า เพื่อจะช่วยเจือจาง หรือว่าอาจจะอาเจียนออกมาก็เป็นสิ่งที่ดี แล้วก็นำส่งโรงพยาบาล
       ในฤดูฝนเป็นทั้งวิกฤติและโอกาส หลายครั้งที่ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติรุนแรงสร้างความเสียหายเป็นอย่างมากต่อชีิวิตและทรัพย์สิน และอีกมุมหนึ่งหลายชีวิตกำลังต้องการน้ำเพื่อต่อลมหายใจ เพื่อสืบสานสายพันธุ์หล่อเลี้ยงชีวิต เกษตรกรต้องพึ่งพาเม็ดฝนเพื่อการทำนา ทำไร่ เพาะปลูก อีกหนึ่งชีวิตงอกเงย อีกหลายชีวิตถูกทำลายลง เป็นฤดูกาล เป็นวัฏจักรอย่างนี้ตลอดไปขึ้นอยู่ว่าใครจะปรับตัวได้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

xsci : เรียบเรียง

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ - Royal Development Projects

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ภาพจาก http://chm-thai.onep.go.th/chm/Business/egat_operate/egat2.html

“เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากินและปัญหาอื่นๆ ที่กระทบถึงสภาพการดำรงชีวิตในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ”

        เป็นรูปแบบการดำเนินการด้านการพัฒนารูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะหลากหลายและครอบคลุมพื้นที่เกือบทุกจังหวัด  ปัจจุบันโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมีจำนวนมากกว่า 3,000 โครงการ (ข้อมูลปี 46 สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) 
    นอกจากนี้ โครงการดำเนินกิจกรรมเป็น “องค์กรด้านการพัฒนา” ทำให้เกิดเป็น “เครือข่ายองค์กรด้านการพัฒนา” ที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากรูปแบบการดำเนินการด้านการพัฒนาครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง และส่งผลต่อประชาชนจำนวนมาก

         โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือการดำเนินกิจกรรมด้านการพัฒนาของสถาบันกษัตริย์หรือที่รู้จักกันในนาม “โครงการในพระราชดำริ” โดยทั่วไปมีความหมายถึง โครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ได้ทรงมีดำริจัดทำขึ้น ซึ่งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น มีลักษณะสำคัญคือ “เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากินและปัญหาอื่นๆ ที่กระทบถึงสภาพการดำรงชีวิตในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ” (สุเมธ ตันติเวชกุล 2529: 1)
        โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจึงมีหลากหลายประเภท หลายสาขา และมีพื้นที่ดำเนินการครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดของประเทศ นอกจากนี้รูปแบบของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในนบางโครงการยังได้พัฒนาเป็นมูลนิธิจดทะเบียนดำเนินการตามกฏหมายอีกด้วย อาทิ มูลนิธิอานันทมหิดล มูลนิธิราชประชาสมัย มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ มูลนิธิโครงการหลวง มูลนิธิชัยพัฒนา เป็นต้น

    1. โครงการตามพระราชประสงค์  หมายถึง  โครงการที่ทรงศึกษาและทดลองปฏิบัติเป็นการส่วนพระองค์ และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการดำเนินการทดลอง ต่อมาเมื่อทรงแน่พระทัย แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลเข้ามารับช่วงดำเนินการต่อ ตัวอย่าง ของโครงการดังกลาว ได้แก่ โครงการส่วนพระองค์จิตรลดา โครงการหุบกะพงตามพระราชประสงค์ เป็นต้น
    2. โครงการหลวง  หมายถึง  โครงการส่วนพระองค์ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากราษฏร รัฐบาลไทยและต่างประเทศ รวมทั้งสำนักงาน กปร. โดยทรงเจาะจงดำเนินการพัฒนาและบำรุงรักษาต้นน้ำลำธารในบริเวณภาคเหนือ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ดำเนินกิจการโดยตรงกับชาวเขา โดยร่วมปฏิบัติผสมผสานกับหน่วยงานของรัฐบาลในพื้นที่ต่างๆ ในภาคเหนือ บางโครงการมีลักษณะการดำเนินงานแบบโครงการพระราชดำริ
    3. โครงการในพระบรมราชานุเคราะห์ หมายถึง โครงการที่ทรงพระราชทานข้อแนะนำพระราชดำริให้เอกชนไปดำเนินการด้วยกำลังเงิน กำลังปัญญา และกำลังแรงงาน พร้อมทั้งการติดตามผลงานให้ต่อเนื่องโดยภาคเอกชนเอง เช่นโครงการหมู่บ้านสหกรณ์โนนดินแดง อ.ทับสะแก อ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งสโมสรโรตารีแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดและดำเนินการตามแนวพระราชดำริ โครงการพจนานุกรมและโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เป็นต้น
    4. โครงการตามพระราชดำริ หมายถึง โครงการที่ทรงวางแผนพัฒนา ทรงเสนอแนะให้รัฐบาลร่วมดำเนินการตามพระราชดำริ โดยจะร่วมทรงงานกับหน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งมีทั้งฝ่ายพลเรือน ตำรวจ และทหาร โครงการประเภทนี้ปัจจุบันมีกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย อาทิ โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ โครงการศูนย์ศึกษาพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้น

credit :
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ :การสถาปนาพระราชอำนาจนำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ผู้แต่ง/ผู้แปล : ชนิดา ชิตบัณฑิตย์
Barcode : 9789748278575
ISBN : 9789748278575
ปีพิมพ์ : 2 / 2554

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

การดูแลสุขภาพช่วงฟุตบอลโลก health for 2014 FIFA World Cup All in One Rhythm


          ในรอบเวลา 4 ปีครั้ง กับการรอคอยฟุตบอลโลกของหลายๆ คน ก็มาถึง ในปี 2014 และนับตั้งแต่ปี 1930  จัดขึ้นที่ประเทศอุรุกวัยเป็นครั้งแรกซึ่งครั้งนี้ไม่มีการแข่งขันเพื่อคัดเลือกทีมเข้าแข่ง แต่เป็นการเชิญเข้าแข่งขัน ในปี 2014 จัดขึ้นที่ประเทศบราซิล สโลแกนของฟุตบอลโลกครั้งนี้คือ All in One Rhythm หมายความว่าอย่างไร แปลความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสอดคล้องกันเป็นหนึ่งเดียว หรือ มีความนัยว่า ความสามัคคีและเป็นหนึ่งเดียวของทุกคนในโลกใบนี้นั่นเอง  ความตั้งใจในการติดตามชมก็ยิ่งเพิ่มมากยิ่งขึ้นทุ่มเทมากขึ้นแต่ด้วยเวลาถ่ายทอดสดจากบราซิลไม่ตรงเวลาปกติในประเทศไทย สิ่งที่ตามมาอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ เรามาดูกันว่าอะไรบ้างที่จะเป็นผลดีผลเสียต่อสุขภาพ

1. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระหว่างดูฟุตบอลนั้น ทำให้ควบคุมสติอารมณ์ได้น้อย และทำให้ตื่นเช้ามาไม่สดใส
2. การอดนอน นอนน้อยทำให้ส่งผลเสียต่อสมดุลนาฬิกาธรรมชาติของร่างกายคนเรา ทำให้สมองล้า เซื่องซึม มึนงง ประสิทธิภาพการจำลดลง เสี่ยงเป็นมะเร็งบางชนิด จึงมีคำแนะนำว่าแม้จะนอนดึกก็ควรตื่นเช้าเช่นเดิม เพื่อรักษาวงจรนาฬิการ่างกาย
3. การดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง เพื่อที่จะแก้ง่วงอาจได้พลังงานที่เกินความจำเป็นเป็นของแถม เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้เน้นการให้พลังงานเสริมสำหรับคนที่ใช้พลังงานมาก มักจะมีส่วนผสมของวิตามินอยู่ด้วยในระดับหนึ่ง
4. ขนมขบเคี้ยว เพิ่มอรรถรสในการดู อย่างเช่นมันฝรั่ง ป๊อบคอร์น หรืออื่นๆ  เท่าที่ทราบกันดีอาหารกลุ่มนี้จัดเป็นสารเร่งความอ้วนอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่อุดมไปด้วยแป้ง น้ำตาล ไขมัน คอเลสเตอรอล และนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความอ้วน คนที่อ้วนอยู่แล้วก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับตัวเอง
5. การดื่มกาแฟ ทำให้ได้รับคาเฟอีนเข้าไป เป็นสารที่กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและเมแทบอลิซึม กระตุ้นการทำงานของสมองให้กระปรี้กระเปร่านั่นประโยชน์ที่เราได้ก็คือแก้ง่วง ส่วนโทษของกาแฟเมื่อดื่มติดต่อเป็นประจำทำให้เข้าสู่สภาวะเสพติดคาเฟอีน (cafeinism) ผลต่อร่างกายคือ กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น ในระยะยาวทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กอักเสบและโรคน้ำย่อยไหลย้อนกลับ
6. ดื่มน้ำให้เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกายวันละ 1.5-2 ลิตร หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันถ้าดื่มน้ำน้อยกว่านี้ทำให้เลือดไหลเวียดไม่สะดวกและร่างกายขับของเสียได้ยาก
7. การตะโกนเชียร์เสียงดัง ถ้าบ้านคุณไม่สามารถเก็บเสียงได้มิดชิดอาจเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านได้

          ไม่ว่าเกมส์นี้จะจบลงด้วยน้ำตาผู้แพ้หรือรอยยิ้มแห่งชัยชนะ แต่สุขภาพยังคงต้องรักษาไว้ให้คงทนสำหรับตอกย้ำชัยชนะหรือซ้ำเติมความพ่ายแพ้ในครั้งต่อไป ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการใช้ชีวิตของหลายๆ ท่านในช่วงฟุตบอลโลก หรือไม่แน่บางอย่างอาจเป็นกิจวัตรที่ทำมาตลอดก็เป็นได้ ควรหันกลับมาให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นการป้องกันดีกว่าที่จะต้องรักษาในภายหลังเป็นการดีกว่าแน่นอน

บทความโดย : xsci

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เมื่อฝุ่นผงผ่านกาลเวลาเป็นโลก from dust to eart



การเดินทางของการเวลา ก้าวผ่านปัจจุบัน กลืนกินอนาคต บางสิ่งยิ่งผ่านกาลเวลายิ่งเติบโต บางสิ่งยิ่งผ่านกาลเวลากลับทรุดโทรมและแย่ลงเรื่อยๆ โลกเรากำลังก้าวผ่านกาลเวลานับได้  4,600 ล้านปี สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดจากฝุ่นเม็ดแรก เม็ดที่สองและอีกมหาศาลค่อยๆ  รวมตัวกันผ่านกาลเวลาก้อนฝุ่นใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ  จนกลายเป็นดวงดาวในระบบสุริยะแต่ในขณะนั้นต้องเผชิญสภาวะอันโหดร้ายจากฝูง อุกกาบาตฟุ่งชนอย่างหนัก ขณะที่โลกมีขนาด 80% ของปัจจุบันอุกกาบาตก้อนใหญ่พุ่งชนจนเนื้อโลกหลุดออกไปเป็นดวงจันทร์ หลังจากนั้นโลกก็ค่อยๆ เย็นตัวลงเปลือกโลกแข็งตัวเป็นหินแต่ยังไม่เป็นทวีปเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ลอยอยู่ในมหาสมุทร เมื่อ 2,500 ล้านพี่ผ่านไปเปลือกโลกก็แยกตัวเป็นทวีปแตกต่างจากยุคแรกอย่างสิ้นเชิง

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

มีใครบ้างใน กปปส. PDRC

ภาพจากที่นี่   http://board.postjung.com/732590.html

เหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน2556 จนถึงปัจจุบัน จากการคัดค้านพรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง จน สว.คว่ำร่างพรบ.ดังกล่าว โดยการชุมนุมทางการเมือง ได้ยกระดับการชุมนุมจากคัดค้าน พรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง เป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณและจัดตั้งสภาประชาชน โดยที่การชุมนุมนั้นมีอยู่ 3กลุ่ม คือ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) และเวทีราชดำเนิน

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

5 พ.ค. 57 เกิดแผ่นดินไหวที่เชียงราย 5.6 ริคเตอร์ - ติดตามแผ่นดินไหวแบบเรียลไทม์ Real Time Earthquake Map and Volcano Activity Report

REALTIMETOOLS - Real Time Earthquake Map and Volcano Activity Report

Update 08.05 7-5-57


Update 08.05  6-5-57

***************************************************
ขณะนี้เกิดแผ่นดินไหวที่เชียงราย 5.6 แมคนิจูด


ข่าวจากรอยเตอร์
http://mobile.reuters.com/article/idUSBREA440A220140505?irpc=932

ข่าวจ่าก sky report ch3
https://m.facebook.com/profile.php?id=118856201469804&ref=m_notif&notif_t=close_friend_activity

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฌานทั้ง ๕ คือ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา meditative absorption

          เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม ในการปฏิบัติสมาธินั้น แนวทางปฏิบัติทั่วไป ก็อาศัยแนวทางแห่งองค์ทั้ง ๕ ของปฐมฌาน คือฌานที่ ๑ อันคำว่า ฌาน นั้นตามศัพท์แปลว่าความเพ่ง หมายถึงจิตที่เพ่งแนบแน่น เป็นอัปปนาสมาธิ คือสมาธิที่แนบแน่น จึงจะเรียกว่าฌานคือความเพ่ง เป็นความเพ่งของจิตในกรรมฐานอย่างแนบแน่น จึงจะเรียกว่าฌาน ซึ่งอัปปนาสมาธิ สมาธิอย่างแนบแน่นอันเรียกว่าฌานนั้น ก็ยังมีลักษณะของความแนบแน่นเป็นชั้นๆขึ้นไป

          สำหรับในชั้นแรกซึ่งเป็นปฐมฌานความเพ่งที่ ๑ นั้น มีองค์ ๕ คือ ๑ วิตก ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐาน ซึ่งเราแปลกันทั่วไปว่าความตรึก แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความตรึกนึกคิดทั่วไป แต่หมายถึงความตรึกนึกกำหนดในอารมณ์ของกรรมฐานเท่านั้น ๒ วิจาร ความตรอง ที่แปลกันทั่วไปว่าความตรอง แต่สำหรับสมาธิหมายถึงความประคองจิตไว้ในอารมณ์ของกรรมฐาน คือให้ตรึกนึกกำหนดอยู่จำเพาะอารมณ์ของกรรมฐานเท่านั้น ความที่คอยประคองจิตไว้ดั่งนี้เรียกว่าวิจาร ซึ่งมักแปลกันทั่วไปว่าความตรอง แต่ไม่ได้หมายความถึงความตรองเรื่องอะไรต่ออะไร ๓ ปีติ ความอิ่มใจดูดดื่มใจ ๔ สุข ความสบายกายความสบายใจ และ ๕ เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์อันเดียว ซึ่งเป็นลักษณะของสมาธิโดยตรง เพราะสมาธิโดยตรงนั้นจะต้องมีเอกัคคตา คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว หรือความมีอารมณ์เป็นอันเดียวกันของจิต เรียกว่าเอกัคคตาเป็นลักษณะของสมาธิทั่วไป องค์ทั้ง ๕ นี้เป็นองค์ของฌาน ตั้งต้นแต่ปฐมฌานคือฌานที่ ๑ แต่แม้ว่าจิตจะยังไม่เป็นสมาธิแนบแน่นถึงปฐมฌาน ในการปฏิบัติสมาธิตั้งแต่เบื้องต้นที่เป็นขั้น บริกัมมภาวนา การภาวนาเริ่มต้น อุปจารภาวนา ภาวนาที่จิตเป็นสมาธิใกล้จะแนบแน่น ก็จะต้องอาศัยการปฏิบัติในองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ เป็นอันว่าจะต้องมีการอาศัยองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น คือ ๑ ในการเริ่มปฏิบัติในขั้นบริกัมมภาวนา ก็จะต้องมีวิตก คือความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิ ดั่งเช่นจะยกเอาลมหายใจเข้า ลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ของสมาธิ คือเป็นกรรมฐานที่จะปฏิบัติ ก็ต้องยกจิตมากำหนดอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ตั้งต้นแต่ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ว่านั่งกายตรง ดำรงสติมั่น จำเพาะหน้า คือนำสติมาตั้งอยู่จำเพาะลมหายใจเข้าออก เรียกว่าจำเพาะหน้า เพราะว่าต้องการลมหายใจเข้าออกมาเป็นกรรมฐาน ลมหายใจเข้าออกจึงได้ถูกยกขึ้นมาไว้จำเพาะหน้า จำเพาะหน้าของจิตนั้นเอง เหมือนอย่างจิตเป็นบุคคล ก็มีหน้าจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ดูอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เห็นอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ด้วยสติคือความกำหนด อาการที่ยกจิตขึ้นสู่ลมหายใจเข้าออก กำหนดอยู่ด้วยสติ หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ ดั่งนี้เรียกว่าวิตกคือความตรึก ต้องใช้วิตกคือความตรึกนี้ ตรึกถึงสมาธิ คือตรึกถึงอารมณ์ของสมาธิ แต่ไม่ตรึกนึกคิดไปในเรื่องอื่นตั้งแต่ในเริ่มต้น อันนี้แหละเป็นตัวบริกัมมภาวนา คือการภาวนาที่เป็นการปฏิบัติเบื้องต้น ต้องมีการกระทำโดยรอบ