ปี 2013 เป็นปีแห่งความก้าวหน้าทางนวัตกรรมสูงมากอีกปี เทคโนโลยีหลายด้านแข่งขันกันพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างมาก เช่น จอ Talet บางและงอได้เหมือนกระดาษที่สามารถโต้ตอบได้
ด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคม - มี Tablet จอทัชสกรีนโค้งงอได้ บางเบาเช่นกระดาษ พัฒนาโดยมัลติมีเดียแลป ควีนยูนิเวอร์ซิตี้ ในออนทาโร ประเทศแคนนาดา เปเปอร์เแทป มีความละเอียดสูงในขนาด 10.7 นิ้ว หน้าจอเป็นพลาสติคทัชสกรีน ผลิตโดย บ. :Plastic Logic แห่งมหาลัยแคมบริจ โดยใช้ Intel core i5
processor
-slashdot.org/story/13/01/10/0040222/canadian-researchers-debut-papertab-the-paper-thin-tablet
-myhappyoffice.com/index.php/2013/02/paper-tablet/
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556
8 ข้อคิดเพิ่มประสิทธิภาพหัวหน้างาน - empower leadership
ยิ่งบริษัทขยายตัวมาก ขึ้นเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ ก็เริ่มไหลเข้ามามากขึ้น ตั้งแต่อีเมล เอกสาร การประชุม ไปจนถึงพนักงาน เมื่อเรามาถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถดูแลได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เราควรแน่ใจก่อนว่าจะให้เวลากับสิ่งใดบ้าง ประสบการณ์ที่เราได้รับการบอกเล่าทั้ง 8 ประการต่อไปนี้เป็นของเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ๆ ที่เจอปัญหาคล้ายๆ กัน เราเชื่อว่าบางข้อน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณ
1. อย่าบั่นทอนเวลางาน ด้วยตารางงาน
Jason Fried ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท 37 Signals เล่าให้เราฟังว่า “ถ้าเป็นไปได้เราจะไม่ค่อยเรียกประชุมถ้าไม่จำเป็น เพราะส่วนตัวผมเองไม่ชอบการประชุม มันทั้งเปลืองและเสียเวลาเปล่า และกลายเป็นว่าเวลาประชุมเหล่านั้นคอยเฉือนเวลาว่างของเราออกให้เป็นห้วงๆ จนเหลือตรงนั้น 20 นาที ตรงนี้ 45 นาทีตลอดเวลาจนแทบทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ค่อยได้เลย เวลาสร้างสรรค์งานบางทีมันจำกัดเวลาลงไม่ได้ อีกอย่าง ก็คือ ถ้ารู้ว่ามีเวลาแค่ภายใน 20 นาที คุณก็คงคิดอะไรไม่ออกอยู่ดี”
“ผมไม่ตั้งนาฬิกาปลุกแต่พยายามตื่นเอง ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาดูว่ามีอีเมลเข้ามาหรือไม่ทุกเช้า และแทนที่ผมจะทำอย่างนั้น ผมจะไปชงชา จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วจึงมาเริ่มงาน เพราะผมขยาดกับกิจวัตรเดิมๆ ของระบบออฟฟิศหรือองค์กรที่ต้องไปใช้เวลาที่มีอยู่จำกัด 40 ชั่วโมงหมดไปกับการประชุม แล้วสุดท้ายแล้วก็ไม่มีเวลาพอ”
2. คลุกตัวกับข้อมูลให้เต็มที่
ผู้เริ่มต้นธุรกิจส่วนมากจะให้เวลากับการวิเคราะห์ข้อมูล แต่ที่ Kayak.com ไม่ใช่แค่ผู้บริหารเท่านั้นที่วันๆ ต้องตามดูตัวเลขสำคัญๆ ต่างๆ ที่เกี่ยวของกับธุรกิจ เขาก้าวล้ำไปกว่านั้นด้วยการสอนให้พนักงานรู้จักและเข้าใจตัวเลขต่างๆ บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และพัฒนาบริการด้วย
“เรามีจอมอนิเตอร์ถึงสี่จอเพื่อดูข้อมูลของเว็บไซท์ว่ามีคนเข้าชมอยู่กี่คน แล้ว มีอีเมลจากลูกค้าเข้ามาบ้างไหม รวมทั้งการให้บริการลูกค้าว่าพนักงานคนไหนบ้างที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ ข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้รู้ได้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และทำให้เราสามารถจัดการทุกปัญหาได้ถูกที่ถูกเวลามากขึ้น”
3. เข้าหาลูกทีม เพื่อเข้าใจลูกทีม
Marc Lore ผู้ก่อตั้งธุรกิจขายผ้าอ้อมสำหรับเด็กออนไลน์ Diapers.com ที่เฉพาะยอดจำหน่ายในปีที่แล้วมีมูลค่ารวม 90 ล้านเหรียญฯ เล่าว่า
“ในขณะที่บริษัทกำลังขยายตัวขึ้น ปีนี้ผมกำลังจะจ้างพนักงานเพิ่มอีก 40 คนสำหรับการขยายตัวครั้งนี้ แต่พนักงานอีกหลายๆ คน โดยเฉพาะพนักงานใหม่ๆ จะยังไม่เข้าใจว่า ทำไมเราถึงตัดสินใจไปอย่างนั้น ผมเลยเริ่มใช้เวลาเดินไปๆ มาๆ ในออฟฟิศวันละประมาณ 5-6 รอบ เพียงเพื่อจะได้คุยกับทุกๆ คนให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้รู้ว่าพวกเขาติดขัดอะไรตรงไหนบ้าง หรือช่วยขยายความให้เป้าหมายของงานที่กำลังจะทำชัดเจนขึ้น ด้วยวิธีนี้ผมรู้สึกดี ดีกว่านั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเดียว”
4. ลดเวลากับอีเมลลง
Matt Mullenweg ผู้ก่อตั้ง WordPress ค้นพบบางอย่างที่รบกวนเวลาการสร้างสรรค์งานของเขา
“เราเสียเวลาไปกับการนั่งเช็คอีเมลอยู่เป็นจำนวนมากทุกวัน ผมรู้ตรงนี้เพราะผมเคยตั้งโปรแกรมให้เช็คดูว่าผมใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง และผลก็ปรากฎว่าเวลาที่ใช้ไปรวมๆ กันแล้วเยอะที่สุดก็คือการนั่งอ่านอีเมลเหล่านี้ แม้ว่าผมรู้สึกเหมือนจะใช้เวลาไปไม่กี่นาที แต่จริงๆ มันกินเวลาไปตั้งหลายชั่วโมงของวันเลยทีเดียว ผมเลยต้องลดเวลาตรงนี้ลงเสียบ้าง”
5.รักษาภาพลักษณ์ความเป็นมิตรเอาไว้ให้สม่ำเสมอ
Essie Weingarten ผู้ก่อตั้ง Essie Cosmetic เลือกไม่จ้างเลขานุการ แม้ว่าธุรกิจของเธอจะมียอดขายถึง 150 ล้านเหรียญฯ ต่อปีก็ตาม เธอให้เหตุผลกับเราว่า “ผู้คนคิดว่า หลายคนมองว่าฉันแปลกที่พยายามรับสายโทรเข้าให้ได้เสมอๆ อันที่จริงส่วนใหญ่กริ๊งเดียวฉันก็รับแล้ว แต่นั่นเป็นภาพลักษณ์ที่ฉันมองว่าสำคัญนะ ฉันสนใจสิ่งที่คนอื่นพูดเสมอ และยิ่งเมื่อบริษัทโตขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่องพวกนี้ยิ่งหยุดทำไม่ได้เลยทีเดียว”
6. แต่ละคนแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน
Kim Kleeman ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านสื่อการสอน Shakespere Sqaured ได้เล่าให้เราฟังว่า “ความเครียดเป็นเรื่องใหญ่ ดิฉันก็เลยชอบที่จะถามคนที่มาสัมภาษณ์ไปว่า คุณมีวิธีรับมือ หรือจัดการกับความเครียดอย่างไรบ้าง คุณขังตัวเองในห้องน้ำแล้วปล่อยโฮหรือเปล่า? หรือจะขอลาหยุดพักร้อน? ไม่สำคัญว่าคำตอบคืออะไร แค่ฉันอยากตั้งรับมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ไปเจอคำตอบตอนไกล้เดตไลน์ คุณกำลังจะแย่ และฉันกำลังจะต้องพังตามไปเท่านั้นเอง”
7. นึกถึงธุรกิจของคุณไปด้วยเสมอเวลาอ่านอะไรก็ตาม
Sam Caglione ผู้ก่อตั้ง Dog Fish Craft Brewery เป็นคนชอบอ่านหนังสือ และแสวงหาไอเดียใหม่ๆ อยู่เสม
“เวลาผมอ่านหนังสือแล้วเหมือนเจออะไร ผมก็จะพับคั่นหน้าหนังสือเสมอๆ ต่อให้ที่ผมกำลังอ่านอยู่นั้นเป็นนิยายก็ตาม ถ้าผมพับกลับไปข้างหน้า นั่นแปลว่ามันต้องมีไอเดียที่ผมเอาไปใช้กับธุรกิจของผมได้ แต่ถ้าผมพับลง มันแปลได้ว่าเกี่ยวข้องกับความรู้สึก สิ่งที่เขียนต่างๆ มักจะเป็นแนวคิดที่ไม่ยึดติดกับตัวเอง ทุกคำพูดที่ผมได้อ่าน ผมจะกลั่นกรองผ่านความคิดด้านธุรกิจเหมือนกัน อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยก่อร่างวิธีทำธุรกิจของผมมาแต่ไหนแต่ไร”
8. จ้างคนที่คุณเชื่อใจ และปล่อยให้พวกเค้าทำงานไป
Bob Parsons ผู้ก่อตั้ง GoDaddy บอกกับผมว่า “หลายคนมองและคิดว่าชีวิตผมในแต่ละวันต้องวุ่นวายมาก แน่ๆ แต่ที่จริงแล้วไม่เลย ผมมีเวลาเท่าที่ผมต้องการ อยากอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ผมอยาก เพราะผมประสบความสำเร็จทุกอย่างโดยให้คนอื่นทำงานแทนให้ ผมเชื่อใจในฝีมือ และสิ่งที่พวกเขาทำ มันจึงไม่สำคัญหรอกว่าผมจะอยู่ที่ออฟฟิศหรือไม่ แต่ความเชื่อใจของผมที่ให้กับทีมงานเป็นเรื่องสำคัญกว่า และนั่นทำให้ผมมีเวลามากพอที่จะทำอะไรมากขึ้นด้วย”
1. อย่าบั่นทอนเวลางาน ด้วยตารางงาน
Jason Fried ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท 37 Signals เล่าให้เราฟังว่า “ถ้าเป็นไปได้เราจะไม่ค่อยเรียกประชุมถ้าไม่จำเป็น เพราะส่วนตัวผมเองไม่ชอบการประชุม มันทั้งเปลืองและเสียเวลาเปล่า และกลายเป็นว่าเวลาประชุมเหล่านั้นคอยเฉือนเวลาว่างของเราออกให้เป็นห้วงๆ จนเหลือตรงนั้น 20 นาที ตรงนี้ 45 นาทีตลอดเวลาจนแทบทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ค่อยได้เลย เวลาสร้างสรรค์งานบางทีมันจำกัดเวลาลงไม่ได้ อีกอย่าง ก็คือ ถ้ารู้ว่ามีเวลาแค่ภายใน 20 นาที คุณก็คงคิดอะไรไม่ออกอยู่ดี”
“ผมไม่ตั้งนาฬิกาปลุกแต่พยายามตื่นเอง ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาดูว่ามีอีเมลเข้ามาหรือไม่ทุกเช้า และแทนที่ผมจะทำอย่างนั้น ผมจะไปชงชา จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วจึงมาเริ่มงาน เพราะผมขยาดกับกิจวัตรเดิมๆ ของระบบออฟฟิศหรือองค์กรที่ต้องไปใช้เวลาที่มีอยู่จำกัด 40 ชั่วโมงหมดไปกับการประชุม แล้วสุดท้ายแล้วก็ไม่มีเวลาพอ”
2. คลุกตัวกับข้อมูลให้เต็มที่
ผู้เริ่มต้นธุรกิจส่วนมากจะให้เวลากับการวิเคราะห์ข้อมูล แต่ที่ Kayak.com ไม่ใช่แค่ผู้บริหารเท่านั้นที่วันๆ ต้องตามดูตัวเลขสำคัญๆ ต่างๆ ที่เกี่ยวของกับธุรกิจ เขาก้าวล้ำไปกว่านั้นด้วยการสอนให้พนักงานรู้จักและเข้าใจตัวเลขต่างๆ บางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์และพัฒนาบริการด้วย
“เรามีจอมอนิเตอร์ถึงสี่จอเพื่อดูข้อมูลของเว็บไซท์ว่ามีคนเข้าชมอยู่กี่คน แล้ว มีอีเมลจากลูกค้าเข้ามาบ้างไหม รวมทั้งการให้บริการลูกค้าว่าพนักงานคนไหนบ้างที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ ข้อมูลทั้งหมดนี้ทำให้รู้ได้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และทำให้เราสามารถจัดการทุกปัญหาได้ถูกที่ถูกเวลามากขึ้น”
3. เข้าหาลูกทีม เพื่อเข้าใจลูกทีม
Marc Lore ผู้ก่อตั้งธุรกิจขายผ้าอ้อมสำหรับเด็กออนไลน์ Diapers.com ที่เฉพาะยอดจำหน่ายในปีที่แล้วมีมูลค่ารวม 90 ล้านเหรียญฯ เล่าว่า
“ในขณะที่บริษัทกำลังขยายตัวขึ้น ปีนี้ผมกำลังจะจ้างพนักงานเพิ่มอีก 40 คนสำหรับการขยายตัวครั้งนี้ แต่พนักงานอีกหลายๆ คน โดยเฉพาะพนักงานใหม่ๆ จะยังไม่เข้าใจว่า ทำไมเราถึงตัดสินใจไปอย่างนั้น ผมเลยเริ่มใช้เวลาเดินไปๆ มาๆ ในออฟฟิศวันละประมาณ 5-6 รอบ เพียงเพื่อจะได้คุยกับทุกๆ คนให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้รู้ว่าพวกเขาติดขัดอะไรตรงไหนบ้าง หรือช่วยขยายความให้เป้าหมายของงานที่กำลังจะทำชัดเจนขึ้น ด้วยวิธีนี้ผมรู้สึกดี ดีกว่านั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเดียว”
4. ลดเวลากับอีเมลลง
Matt Mullenweg ผู้ก่อตั้ง WordPress ค้นพบบางอย่างที่รบกวนเวลาการสร้างสรรค์งานของเขา
“เราเสียเวลาไปกับการนั่งเช็คอีเมลอยู่เป็นจำนวนมากทุกวัน ผมรู้ตรงนี้เพราะผมเคยตั้งโปรแกรมให้เช็คดูว่าผมใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง และผลก็ปรากฎว่าเวลาที่ใช้ไปรวมๆ กันแล้วเยอะที่สุดก็คือการนั่งอ่านอีเมลเหล่านี้ แม้ว่าผมรู้สึกเหมือนจะใช้เวลาไปไม่กี่นาที แต่จริงๆ มันกินเวลาไปตั้งหลายชั่วโมงของวันเลยทีเดียว ผมเลยต้องลดเวลาตรงนี้ลงเสียบ้าง”
5.รักษาภาพลักษณ์ความเป็นมิตรเอาไว้ให้สม่ำเสมอ
Essie Weingarten ผู้ก่อตั้ง Essie Cosmetic เลือกไม่จ้างเลขานุการ แม้ว่าธุรกิจของเธอจะมียอดขายถึง 150 ล้านเหรียญฯ ต่อปีก็ตาม เธอให้เหตุผลกับเราว่า “ผู้คนคิดว่า หลายคนมองว่าฉันแปลกที่พยายามรับสายโทรเข้าให้ได้เสมอๆ อันที่จริงส่วนใหญ่กริ๊งเดียวฉันก็รับแล้ว แต่นั่นเป็นภาพลักษณ์ที่ฉันมองว่าสำคัญนะ ฉันสนใจสิ่งที่คนอื่นพูดเสมอ และยิ่งเมื่อบริษัทโตขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่องพวกนี้ยิ่งหยุดทำไม่ได้เลยทีเดียว”
6. แต่ละคนแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน
Kim Kleeman ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านสื่อการสอน Shakespere Sqaured ได้เล่าให้เราฟังว่า “ความเครียดเป็นเรื่องใหญ่ ดิฉันก็เลยชอบที่จะถามคนที่มาสัมภาษณ์ไปว่า คุณมีวิธีรับมือ หรือจัดการกับความเครียดอย่างไรบ้าง คุณขังตัวเองในห้องน้ำแล้วปล่อยโฮหรือเปล่า? หรือจะขอลาหยุดพักร้อน? ไม่สำคัญว่าคำตอบคืออะไร แค่ฉันอยากตั้งรับมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ไปเจอคำตอบตอนไกล้เดตไลน์ คุณกำลังจะแย่ และฉันกำลังจะต้องพังตามไปเท่านั้นเอง”
7. นึกถึงธุรกิจของคุณไปด้วยเสมอเวลาอ่านอะไรก็ตาม
Sam Caglione ผู้ก่อตั้ง Dog Fish Craft Brewery เป็นคนชอบอ่านหนังสือ และแสวงหาไอเดียใหม่ๆ อยู่เสม
“เวลาผมอ่านหนังสือแล้วเหมือนเจออะไร ผมก็จะพับคั่นหน้าหนังสือเสมอๆ ต่อให้ที่ผมกำลังอ่านอยู่นั้นเป็นนิยายก็ตาม ถ้าผมพับกลับไปข้างหน้า นั่นแปลว่ามันต้องมีไอเดียที่ผมเอาไปใช้กับธุรกิจของผมได้ แต่ถ้าผมพับลง มันแปลได้ว่าเกี่ยวข้องกับความรู้สึก สิ่งที่เขียนต่างๆ มักจะเป็นแนวคิดที่ไม่ยึดติดกับตัวเอง ทุกคำพูดที่ผมได้อ่าน ผมจะกลั่นกรองผ่านความคิดด้านธุรกิจเหมือนกัน อาจจะฟังดูแปลกๆ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยก่อร่างวิธีทำธุรกิจของผมมาแต่ไหนแต่ไร”
8. จ้างคนที่คุณเชื่อใจ และปล่อยให้พวกเค้าทำงานไป
Bob Parsons ผู้ก่อตั้ง GoDaddy บอกกับผมว่า “หลายคนมองและคิดว่าชีวิตผมในแต่ละวันต้องวุ่นวายมาก แน่ๆ แต่ที่จริงแล้วไม่เลย ผมมีเวลาเท่าที่ผมต้องการ อยากอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ผมอยาก เพราะผมประสบความสำเร็จทุกอย่างโดยให้คนอื่นทำงานแทนให้ ผมเชื่อใจในฝีมือ และสิ่งที่พวกเขาทำ มันจึงไม่สำคัญหรอกว่าผมจะอยู่ที่ออฟฟิศหรือไม่ แต่ความเชื่อใจของผมที่ให้กับทีมงานเป็นเรื่องสำคัญกว่า และนั่นทำให้ผมมีเวลามากพอที่จะทำอะไรมากขึ้นด้วย”
Cr: http://incquity.com
“สหรัฐฯ”โต้ “ฮิวแมนไรท์วอช” อ้าง “ปฎิบัติการโดรน” ไม่ขัดกฏหมายระหว่างประเทศ - uav killer
“สหรัฐฯ”โต้ “ฮิวแมนไรท์วอช” อ้าง “ปฎิบัติการโดรน” ไม่ขัดกฏหมายระหว่างประเทศ - “ชารีฟ” ร้องให้ยุติใช้โดรนโจมตีในปากีสถาน
เอเจนซีส์ - สหรัฐฯได้กล่าวปฎิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า “ปฎิบัติการโดรน” ในเยเมนและปากีสถานหรือที่อื่นที่สหรัฐฯได้ใช้เพื่อสังหารเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์นั้น “ขัดกฏหมายระหว่างประเทศ” ตามที่องค์กรนิรโทษสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาก่อนหน้านี้ และในวันอังคาร(22) นายกรัฐมนตรีปากีสถาน นาวาซ ชารีฟ เรียกร้องให้สหรัฐฯยุติปฎิบัติการโดรนในปากีสถาน อ้างหากดำเนินต่อจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ ในการขึ้นพูดที่ US Institute of Peace (USIP)
การปฎิเสธของสหรัฐฯในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากองค์กรนิรโทษสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาถึงโครงการโดรนล่าสังหารที่สหรัฐฯใช้เพื่อตอบโต้เครือข่ายอัลกออิดะห์ในเยเมนและปากีสถานหรือที่อื่นๆนั้น “ขัดกฏหมายระหว่างประเทศ” ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นก่อนที่นายกรัฐมนตรีปากีสถาน นาวาซ ชารีฟ จะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว ในวันพุธ(23) นอกเหนือจากเรื่องร้อนๆที่สหรัฐฯกล่าวหาปากีสถานว่า แอบช่วยกลุ่มก่อการร้ายตอลีบานอยู่ลับๆ ซึ่งในการพบปะครั้งนี้ สหรัฐฯมีแผนที่จะให้การช่วยเหลือปากีสถานด้วยตัวเลข 1.6 พันล้าน โดยก่อนหน้านี้ในวันอังคาร(22)ชารีฟขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่ US Institute of Peace (USIP) ได้เรียกร้องให้สหรัฐฯยุติปฎิบัติการโดรนในปากีสถาน โดยทางชารีฟกล่าวว่า “โดรนนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของปากีสถานและสหรัฐฯต้องสั่นคลอน ดังนั้นผมจึงขอยืนยันอย่างหนักแน่นในความต้องการให้ยุติโครงการนี้เสีย”
ทางด้านโฆษกทำเนียบขาว เจน์ คาร์นีย์ กล่าวว่า “เรากำลังพิจารณารายงานของกลุ่มฮิวแมนไรท์วอชอย่างถี่ถ้วน” นอกจากนี้ คาร์นีย์ยังกล่าวต่อไปว่า “เมื่อดูจากรายงานขององค์กรนิรโทษสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่อ้างว่าสหรัฐฯได้ละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศนั้น สหรัฐฯขอยืนกรานปฎิเสธอย่างสิ้นเชิง ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบได้พิจารณาอย่างระมัดระวังและถี่ถ้วนเป็นพิเศษว่าปฎิการต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯนั้นอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่กำหนดไว้”
นอกจากนี้ คาร์นีย์ยังเสริมด้วยว่า ปฎิบัติการโจมตีทางอากาศที่สหรัฐฯใช้ในการจัดการสังหารผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายแทนที่จะส่งกำลังทหารหรือการใช้อาวุธประเภทอื่นนั้น ทางวอชิงตันได้เลือกทางปฎิบัติที่จะส่งผลข้างเคียงน้อยที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสียชีวิตกับพลเรือน”
โดยก่อนหน้านี้ในวันอังคาร(22) ทางองค์กรนิรโทษสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้ร่วมกันเรียกร้องให้สภาคองเกรสของสหรัฐฯสอบสวนอย่างละเอียด พร้อมกับแสดงถึงหลักฐานที่หลายครั้งรัฐบาลสหรัฐฯได้ใช้อากาศยานไร้คนขับในปฎิบัติการต่อต้านก่อการร้ายละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศ
โดยทางกลุ่มฮิวแมนไรท์วอชได้เจาะจงไปที่ปฎิบัติการใช้โดรนในเยเมนจำนวน 6 ครั้ง สังหารประชาชนในเยเมน ในปี 2009 และอีก 5 ครั้งในปี 2012-2013 โดยทำให้ชาวเยเมนเสียชีวิตไป 82 คน และยังพบว่า มีจำนวนถึง 57 คนหรือ70% ของจำนวนทั้งหมดที่เสียชีวิตนั้นเป็นพลเรือน และการวิเคราะห์ของหน่วยงานเอ็นจีโอแห่งนี้พบว่า “การโจมตี 2 ครั้งจากทั้งหมด 6 ครั้งนั้นขัดกฎหมายระหว่างประเทศ” และนอกจากนี้ การโจมตีทั้งหมดที่ทั้ง 6 ครั้งนั้นยังไม่เป็นไปตามนโยบายของโอบามาที่ได้แถลงไว้ในเดือนพฤษภาคม ต้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในรายงานขององค์กรนิรโทษสากล ที่ได้เจาะจงไปที่ปฎิบัติการโดรนจำนวน 9 ครั้งจากจำนวนทั้งหมด 45 ครั้งในแถบทางตอนเหนือของวาซิริสถาน ปากีสถาน ช่วงระหว่างเดือนมกราคม 2012 จนถึงเดือนสิงหาคม 2013 เป็นแถบที่สหรัฐฯมุ่งโจมตีกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานอย่างหนักหน่วง โดยรายงานขององค์กรได้เจาะจงไปที่กรณีของ “ มามานา บีบี” ชาวปากีสถาน วัย 68 ปี ที่ถูกสังหารด้วยปฎิบัติการโดรนของสหรัฐฯในเดือนตุลาคม 2012 ในระหว่างที่เธอกำลังเก็บผักอยู่กับหลาน และรายงานฉบับนี้ยังได้วิเคราะห์ถึงการโจมตีของโดรนแบบ “double-tab” หรือการที่จรวดมิสไซล์ลูกที่สองจะถูกปล่อยออกตามลูกแรกหากพบว่าเป้าหมายสังหารนั้นได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม ทางองค์กรไม่ได้รายงานถึงตัวเลขที่แน่นอนของพลเมืองที่เสียชีวิตจากการถูกสังหารด้วยโดรน
โดยในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทางยูเอ็นได้มีการประเมินตัวเลขผู้เสียชีวิตในปากีสถานและเยเมนจากปฎิบัติการโดรนของสหรัฐนั้นพบว่า มีตัวเลขพลเรือนปากีสถานเสียชีวิตอย่างน้อย 400 คน และมีจำนวนพลเรือนหลายสิบคนในเยเมนที่เสียชีวิต
เอเจนซีส์ - สหรัฐฯได้กล่าวปฎิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า “ปฎิบัติการโดรน” ในเยเมนและปากีสถานหรือที่อื่นที่สหรัฐฯได้ใช้เพื่อสังหารเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์นั้น “ขัดกฏหมายระหว่างประเทศ” ตามที่องค์กรนิรโทษสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาก่อนหน้านี้ และในวันอังคาร(22) นายกรัฐมนตรีปากีสถาน นาวาซ ชารีฟ เรียกร้องให้สหรัฐฯยุติปฎิบัติการโดรนในปากีสถาน อ้างหากดำเนินต่อจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ ในการขึ้นพูดที่ US Institute of Peace (USIP)
การปฎิเสธของสหรัฐฯในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากองค์กรนิรโทษสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาถึงโครงการโดรนล่าสังหารที่สหรัฐฯใช้เพื่อตอบโต้เครือข่ายอัลกออิดะห์ในเยเมนและปากีสถานหรือที่อื่นๆนั้น “ขัดกฏหมายระหว่างประเทศ” ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นก่อนที่นายกรัฐมนตรีปากีสถาน นาวาซ ชารีฟ จะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว ในวันพุธ(23) นอกเหนือจากเรื่องร้อนๆที่สหรัฐฯกล่าวหาปากีสถานว่า แอบช่วยกลุ่มก่อการร้ายตอลีบานอยู่ลับๆ ซึ่งในการพบปะครั้งนี้ สหรัฐฯมีแผนที่จะให้การช่วยเหลือปากีสถานด้วยตัวเลข 1.6 พันล้าน โดยก่อนหน้านี้ในวันอังคาร(22)ชารีฟขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่ US Institute of Peace (USIP) ได้เรียกร้องให้สหรัฐฯยุติปฎิบัติการโดรนในปากีสถาน โดยทางชารีฟกล่าวว่า “โดรนนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของปากีสถานและสหรัฐฯต้องสั่นคลอน ดังนั้นผมจึงขอยืนยันอย่างหนักแน่นในความต้องการให้ยุติโครงการนี้เสีย”
ทางด้านโฆษกทำเนียบขาว เจน์ คาร์นีย์ กล่าวว่า “เรากำลังพิจารณารายงานของกลุ่มฮิวแมนไรท์วอชอย่างถี่ถ้วน” นอกจากนี้ คาร์นีย์ยังกล่าวต่อไปว่า “เมื่อดูจากรายงานขององค์กรนิรโทษสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่อ้างว่าสหรัฐฯได้ละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศนั้น สหรัฐฯขอยืนกรานปฎิเสธอย่างสิ้นเชิง ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบได้พิจารณาอย่างระมัดระวังและถี่ถ้วนเป็นพิเศษว่าปฎิการต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯนั้นอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่กำหนดไว้”
นอกจากนี้ คาร์นีย์ยังเสริมด้วยว่า ปฎิบัติการโจมตีทางอากาศที่สหรัฐฯใช้ในการจัดการสังหารผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายแทนที่จะส่งกำลังทหารหรือการใช้อาวุธประเภทอื่นนั้น ทางวอชิงตันได้เลือกทางปฎิบัติที่จะส่งผลข้างเคียงน้อยที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสียชีวิตกับพลเรือน”
โดยก่อนหน้านี้ในวันอังคาร(22) ทางองค์กรนิรโทษสากลและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้ร่วมกันเรียกร้องให้สภาคองเกรสของสหรัฐฯสอบสวนอย่างละเอียด พร้อมกับแสดงถึงหลักฐานที่หลายครั้งรัฐบาลสหรัฐฯได้ใช้อากาศยานไร้คนขับในปฎิบัติการต่อต้านก่อการร้ายละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศ
โดยทางกลุ่มฮิวแมนไรท์วอชได้เจาะจงไปที่ปฎิบัติการใช้โดรนในเยเมนจำนวน 6 ครั้ง สังหารประชาชนในเยเมน ในปี 2009 และอีก 5 ครั้งในปี 2012-2013 โดยทำให้ชาวเยเมนเสียชีวิตไป 82 คน และยังพบว่า มีจำนวนถึง 57 คนหรือ70% ของจำนวนทั้งหมดที่เสียชีวิตนั้นเป็นพลเรือน และการวิเคราะห์ของหน่วยงานเอ็นจีโอแห่งนี้พบว่า “การโจมตี 2 ครั้งจากทั้งหมด 6 ครั้งนั้นขัดกฎหมายระหว่างประเทศ” และนอกจากนี้ การโจมตีทั้งหมดที่ทั้ง 6 ครั้งนั้นยังไม่เป็นไปตามนโยบายของโอบามาที่ได้แถลงไว้ในเดือนพฤษภาคม ต้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในรายงานขององค์กรนิรโทษสากล ที่ได้เจาะจงไปที่ปฎิบัติการโดรนจำนวน 9 ครั้งจากจำนวนทั้งหมด 45 ครั้งในแถบทางตอนเหนือของวาซิริสถาน ปากีสถาน ช่วงระหว่างเดือนมกราคม 2012 จนถึงเดือนสิงหาคม 2013 เป็นแถบที่สหรัฐฯมุ่งโจมตีกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถานอย่างหนักหน่วง โดยรายงานขององค์กรได้เจาะจงไปที่กรณีของ “ มามานา บีบี” ชาวปากีสถาน วัย 68 ปี ที่ถูกสังหารด้วยปฎิบัติการโดรนของสหรัฐฯในเดือนตุลาคม 2012 ในระหว่างที่เธอกำลังเก็บผักอยู่กับหลาน และรายงานฉบับนี้ยังได้วิเคราะห์ถึงการโจมตีของโดรนแบบ “double-tab” หรือการที่จรวดมิสไซล์ลูกที่สองจะถูกปล่อยออกตามลูกแรกหากพบว่าเป้าหมายสังหารนั้นได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม ทางองค์กรไม่ได้รายงานถึงตัวเลขที่แน่นอนของพลเมืองที่เสียชีวิตจากการถูกสังหารด้วยโดรน
โดยในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทางยูเอ็นได้มีการประเมินตัวเลขผู้เสียชีวิตในปากีสถานและเยเมนจากปฎิบัติการโดรนของสหรัฐนั้นพบว่า มีตัวเลขพลเรือนปากีสถานเสียชีวิตอย่างน้อย 400 คน และมีจำนวนพลเรือนหลายสิบคนในเยเมนที่เสียชีวิต
ที่มา : manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000132834
วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556
firefox ดู youtube ไม่มีเสียง
http://get.adobe.com/flashplayer/?promoid=JZEFT
การติดตั้งวินโดว์ใหม่ หรือแม้ว่าอยู่ดี ๆ firefox อาจไม่มีเสียงปัญหาเกิดจาก flashplayer ที่ทำหน้าที่อ่านไฟล์เสียงมีปัญหา แก้ไขได้โดยการติดตั้ง Adobe Flash Player ใหม่ ซึ่งเป็น Version ใหม่ตามลิ้งด้านบน และวิธีการด้านล่าง
การติดตั้งวินโดว์ใหม่ หรือแม้ว่าอยู่ดี ๆ firefox อาจไม่มีเสียงปัญหาเกิดจาก flashplayer ที่ทำหน้าที่อ่านไฟล์เสียงมีปัญหา แก้ไขได้โดยการติดตั้ง Adobe Flash Player ใหม่ ซึ่งเป็น Version ใหม่ตามลิ้งด้านบน และวิธีการด้านล่าง
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สุรินทร์ แฉไทยหลุมดำอาเซียน เหตุโกงมากที่สุด
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ประธานสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย แถลงว่า จากการที่สถาบันออกแบบประเทศไทย ได้ศึกษาถึงแนวทางการแก้ปัญหาของประเทศ ทำให้พบข้อมูลว่า วันนี้มีความน่าเป็นห่วงปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ที่ทำให้ประเทศไทยเป็นหลุมดำ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศวิตก ส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศลดลงถึง 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นจุดที่ทำให้ประเทศไทยที่เคยมีภาวะเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค ตกลงไปอยู่ในอันดับ 4 เนื่องจากปัญหาการคอร์รัปชั่นที่มากที่สุดในประเทศอาเซียน เนื่องจาก 10 ปีที่ผ่านมา ไทยไม่สามารถขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นได้ และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งมีองค์กรต่าง ๆ สำรวจพบว่า พรรคการเมืองเป็นต้นตอการคอร์รัปชันมากที่สุด รวมถึงสื่อมวลชนไม่สามารถเป็นกระจกสะท้อนคอร์รัปชันได้
นายสุรินทร์ กล่าวต่อว่า จากผลสำรวจของเอแบคโพลและสวนดุสิตโพล ถึงทัศนคติคนไทยต่อปัญหาคอร์รัปชัน พบว่าเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี กว่า 70 เปอร์เซ็น เห็นด้วยและยอมรับการคอร์รัปชันได้หากได้ประโยชน์ด้วย และจากการสำรวจทรัพยากรจากงบประมาณแหล่งเงินและโอกาสต่าง ๆ พบว่าเราสูญเสียเงินในส่วนนี้ปีละ 1 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นมะเร็งร้ายที่ทำลายความสามารถแข่งขันของประเทศ และทำให้ไทยตามใครไม่ทัน เพราะใช้งบประมาณรั่วไหลจากการทุจริต ที่สำคัญจากการศึกษาขององค์กรโปร่งใสนานาชาติพบว่า 1 ใน 6 ของคนไทย ยอมรับว่าเคยมีส่วนจ่ายสินบนหรือมีส่วนทุจริตคอร์รัปชันด้วย จึงทำให้เกิดปัญหาหลุมดำในประเทศไทยคือ 1.นักลงทุนไม่เข้ามาลงทุน และหันไปลงทุนในประเทศเล็กๆ เพราะเป็นหลุมสว่างมากกว่า ไม่มีทุนคอร์รัปชัน 30-40% 2.หลุมดำนี้จะทำให้โครงการต่างๆ ของอาเซียนต้องชะงักลง เพราะไทยเป็นจุดศูนย์กลางหนึ่งของภูมิภาค 3.สมรรถนะการของไทยจะลดลง
”ผมขอเตือนสติว่าเรากำลังกลายเป็นกับดักของทุกสิ่ง จะเป็นภัยพิบัติของตัวเองและภูมิภาค ถ้าเราล้มจะส่งผลต่อภูมิภาคด้วย เราเป็นไข่แดงของภูมิภาค สิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวคือการคอร์รัปชัน จึงอยากใหทุกฝ่ายตื่นตัวร่วมกันแก้วิกฤติ บังคับใช้กฎหมายคอร์รัปชันตรงไปตรงมา ไม่ทำแบบลูบหน้าปะจมูก มีการลงโทษจริงจัง ทำตามข้อตกลงในการต่อต้านคอร์รัปชันในภูมิภาคอาเซียนที่ไทยร่วมลงนามด้วย รวมถึงไทยควรเข้าไปเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เพื่อให้เป็นมาตรวัดกระตุ้นให้ไทยแก้ปัญหามะเร็งร้ายได้ และ 3.ต้องเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยในการคอร์รัปชัน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ไม่เช่นนั้นจะทำให้ไทยล่มจม เป็นหลุมดำ และอนาคตเยาวชนจะเป็นผู้รับบาป เพราะการไม่เอาจริงเรื่องคอร์รัปชันของคนในรุ่นปัจจุบัน ที่สำคัญสื่อมวลชนจะต้องเป็นกระจกเงาสะท้อนปัญหาให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะสื่อมวลชนคือสาเหตุหนึ่งของความอ่อนเปลี้ยในการแก้ปัญหาทุจริต” นายสุรินทร์ กล่าว.
#ข่าวเดลินิวส์ #ภาพเดลินิวส์ #แถลงที่พรรค @democrat_party #บุคลากรคุณภาพระดับอาเซียน
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ศาสนาพุทธสอนเรื่องการดับทุกข์ การทรมานร่างกายไม่ใช่หนทางพ้นท์ที่แท้จริง!! ไม่มีคำสอนบทใดสอนให้สาวกทรมานร่างกายเพื่อพ้นทุกข์
ถ้าบุญที่ได้ ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดทรมานขนาดนี้.. ?
ขออยู่แบบไม่มีบุญดีกว่า
ถ้าโลกสวยจะด่า ตอบกูก่อนนะว่า..
- มึงนับถือ ศาสนาอะไร ?
- ถ้ามึงตอบว่าพุทธ (แล้วมึงรู้มั้ยว่าที่คนในรูปทำนั้นมันของลัทธิเต๋า ไม่ใช่พุทธ)
- กูนับถือพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้กราบไหว้นับถือ ผี สาง นางไม้ เทพเจ้าใดๆทั้งสิ้น
- ถ้าเห็นรูปแล้วดิ้นจะเป็นจะตายก็กลับไปอ่านหนังสือพุทธศาสนาให้เข้าใจแก่นแท้ของศาสนาก่อน
ที่มา : เพจสอนควายให้หายโง่, FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย
รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2013 The Nobel Peace Prize for 2013
รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2013 นี้ไม่ใช่ Malala Yousafzai อย่างที่หลายคนคาดหวัง เนื่องจากคณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์มีมติมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2013 ให้แก่ Organization for the Prohibition of Chemical Weapons (OPCW) สำหรับความอุตสาหะขององค์กรในการกำจัดอาวุธเคมี
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง การประชุมที่กรุงเจนีวาในปี 1925 ได้มีมติห้ามใช้อาวุธเคมี แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยังคงมีการใช้อาวุธเคมีในการสังหารมนุษย์โดยเฉพาะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีเยอรมัน และหลังจากนั้นอาวุธเคมีก็กลายเป็นอุปกรณ์ของผู้ก่อการร้ายและรัฐอีกหลายรัฐ นานาชาติในประชาคมโลกต่างเห็นความน่ากลัวของการใช้อาวุธเคมี ฉะนั้นการประชุมวาระอาวุธเคมีจึงได้มีมติสั่งห้ามการใช้, การผลิต, การกักเก็บอาวุธเคมีตั้งแต่ปี 1992-1993 และในที่สุด OPCW ก็ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1997 เพื่อรับผิดชอบหน้าที่บังคับใช้มติในทางปฏิบัติ ประเทศที่ลงนามในมติวาระอาวุธเคมีในปี 1993 จึงเป็นสมาชิกของ OPCW โดยอัตโนมัติ (ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย) ปัจจุบัน OPCW มีประเทศสมาชิกแล้ว 190 ประเทศ (ยกเว้นเมียนม่าร์และอิสราเอลซึ่งลงนามแต่ไม่เห็นชอบต่อมติ)
เหตุการณ์การใช้อาวุธเคมีต่อพลเรือนในประเทศซีเรียเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาสร้างความตระหนกแก่สังคมโลก คณะกรรมการรางวัลโนเบลฯ จึงมอบรางวัลให้แก่ OPCW โดยมีจุดประสงค์ในทางหนึ่งเพื่อเน้นให้ทั่วโลกตระหนักถึงความร้ายแรงของอาวุธเคมีและเอาจริงเอาจังในการกำจัดอาวุธเคมีทั้งหมดทั้งในประเทศสมาชิกและประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก (การประชุมนานาชาติวาระการปลดอาวุธเคมีได้เคยมีมติขีดเส้นตาย 29 เมษายน 2012 ให้ทุกประเทศสมาชิกทำลายอาวุธเคมีที่ครอบครองทั้งหมดให้สิ้น แต่เมื่อเส้นตายเดือนเมษายน 2012 ผ่านไป บางประเทศสมาชิก เช่น ลิเบีย, รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ก็ออกมายอมรับว่าไม่สามารถกำจัดอาวุธเคมีได้ทันกำหนดเส้นตายและขอเลื่อนกำหนดเส้นตายออกไปอีก --- ที่น่าสนใจคือ 3 ประเทศสมาชิกตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นประเทศสมาชิกใน Executive Council ของ OPCW ด้วย)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง การประชุมที่กรุงเจนีวาในปี 1925 ได้มีมติห้ามใช้อาวุธเคมี แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยังคงมีการใช้อาวุธเคมีในการสังหารมนุษย์โดยเฉพาะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีเยอรมัน และหลังจากนั้นอาวุธเคมีก็กลายเป็นอุปกรณ์ของผู้ก่อการร้ายและรัฐอีกหลายรัฐ นานาชาติในประชาคมโลกต่างเห็นความน่ากลัวของการใช้อาวุธเคมี ฉะนั้นการประชุมวาระอาวุธเคมีจึงได้มีมติสั่งห้ามการใช้, การผลิต, การกักเก็บอาวุธเคมีตั้งแต่ปี 1992-1993 และในที่สุด OPCW ก็ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1997 เพื่อรับผิดชอบหน้าที่บังคับใช้มติในทางปฏิบัติ ประเทศที่ลงนามในมติวาระอาวุธเคมีในปี 1993 จึงเป็นสมาชิกของ OPCW โดยอัตโนมัติ (ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย) ปัจจุบัน OPCW มีประเทศสมาชิกแล้ว 190 ประเทศ (ยกเว้นเมียนม่าร์และอิสราเอลซึ่งลงนามแต่ไม่เห็นชอบต่อมติ)
เหตุการณ์การใช้อาวุธเคมีต่อพลเรือนในประเทศซีเรียเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาสร้างความตระหนกแก่สังคมโลก คณะกรรมการรางวัลโนเบลฯ จึงมอบรางวัลให้แก่ OPCW โดยมีจุดประสงค์ในทางหนึ่งเพื่อเน้นให้ทั่วโลกตระหนักถึงความร้ายแรงของอาวุธเคมีและเอาจริงเอาจังในการกำจัดอาวุธเคมีทั้งหมดทั้งในประเทศสมาชิกและประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก (การประชุมนานาชาติวาระการปลดอาวุธเคมีได้เคยมีมติขีดเส้นตาย 29 เมษายน 2012 ให้ทุกประเทศสมาชิกทำลายอาวุธเคมีที่ครอบครองทั้งหมดให้สิ้น แต่เมื่อเส้นตายเดือนเมษายน 2012 ผ่านไป บางประเทศสมาชิก เช่น ลิเบีย, รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ก็ออกมายอมรับว่าไม่สามารถกำจัดอาวุธเคมีได้ทันกำหนดเส้นตายและขอเลื่อนกำหนดเส้นตายออกไปอีก --- ที่น่าสนใจคือ 3 ประเทศสมาชิกตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นประเทศสมาชิกใน Executive Council ของ OPCW ด้วย)
ที่มา - Nobel Prize Press Release, jusci
วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556
กินเจเพื่อจุดประสงค์ใด Nine Emperor Gods Festival
ภาพประกอบจาก bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&group=6&page=3
เทศกาลกินเจ มีหลายจุดประสงค์แล้วแต่คน ๆ นั้นจะเลือก ตามความต้องการ บ้างก็หวังเพื่อชำระล้างกายใจ บ้างก็กินเพื่อสุขภาพโดยไม่มีความเชื่อ
+1. เพื่อสุขภาพ โดยมีความเชื่อว่าการไม่กินเนื้อสัตว์ทำให้ร่างกายขับพิษต่าง ๆ ออกมาทำให้สุขภาพดี ไม่ผูกโยงความเชื่อ
+2. เพื่อสนองความเชื่อ การไม่เบียดเบียนสัตว์ และผลบุญ ข้อนี้ฟังดูอาจดูดีใจบุญดูมีเมตตา
2.1 แต่ความเชื่อของคนบางกลุ่มเช่นยังกินหอยนางรมซึ่งถือว่าเจตามเชื่อตามตำนานที่แต่งขึ้นที่สมคบคิดให้กินสัตว์สด ๆ อย่างหอยแล้วไม่ผิดศีลไม่ได้เบียดเบียนรังแกสัตว์
2.2 กินเจ เพื่อชำระล้างกายใจ แต่ต้องทำรูปแบบอาหารเลียนแบบเนื้อสัตว์ คิดจะทำบุญแต่จิตใจยังสกปรกยังต้องสร้างอาหารเลียนแบบเนื้อสัตว์ มือถือสากปากถือศีลหรือเปล่า?? จึงเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบมาเติมเต็ม...
กินเจ แล้วต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ใช้ของแหลมคมจิ้มแทงปากเพื่อโชว์อุตริ ก็เกิดคำถามต่อมาว่า ถ้าขลังจริงทำไมไม่แทงคอให้ทะลุไปอีกผั่ง แทงตาให้ทะลุจนมีดติดคาอยู่ แทงหัวใจให้ทะลุหลัง ทำไมต้องเป็นกระพุ้งแก้มเท่านั้น?
ความเชื่อ หลายคนเชื่อแบบไม่มีข้อโต้แย้งเห็นเขาเชื่อกันมาก็เชื่อตามไปอย่างนั้นอย่างงมงาย ไม่ต้องถามหาเหตุผลว่าทำไม? เช่นอ้างคำว่าโบราณว่า...จึงต้องเชื่ออย่านั้น เรียกว่าเชื่ออย่างโง่งมไร้การฉุกคิด ตัวอย่างในหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อวันที่ผ่านมาเชื่อว่ากินเจแล้วต้องกินน้ำมนต์วันละ 18 ลิตรทำให้น้ำท่วมปอด ท่วมหัวใจ ช็อคตาย ความเชื่องมงายนี่มันเป็นอันตรายอย่างมาก หรือเชื่อว่าสะเดาะเคราะห์แล้วชีวิตจะดีขึ้นสุดท้ายสาวน้อยก็โดนพ่อหมอข่มขืน หรือหลอกเงิน ถามว่าทำไมมันต้องโบราณ ทำไมโบราณมันน่าเชื่อ มาถกคิดหาความจริงอย่างเป็นเหตุเป็นผลกันจะดีกว่าไหม...
xsci
ลิ้งที่เกี่ยวข้อง สมรัก พรรคเพื่อเก้ง https://www.facebook.com/photo.php?fbid=223708351122816&set=a.127912997369019.26968.127912267369092&type=1&theater
รางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี Nobel 2013
ภาพประกอบ Martin Karplus
ภาพประกอบ Michael Levitt
รางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี 2013 มีผู้ได้รับ 3 ท่าน คือ Martin Karplus, Michael Levitt และ Arieh Warshel ในฐานะที่ร่วมกันบุกเบิกวางรากฐานการพัฒนาแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่สามารถอธิบายปฏิกิริยาเคมีซับซ้อนซึ่งต้องใช้ทั้ง classical และ quantum physics ได้
ย้อนเวลาไปเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ในยุคนั้นเมื่อนักเคมีต้องการศึกษาปฏิกิริยาเคมีในระดับโมเลกุลด้วยแบบจำลองในคอมพิวเตอร์ พวกเขาจะชนเข้ากับอุปสรรคของ classical และ quantum physics ที่ขวางไม่ให้เราสร้างแบบจำลองที่ใส่ทั้งรูปร่างโมเลกุลและพลวัติของปฏิกิริยาเข้าไปพร้อมกัน หากนักเคมีต้องการเห็นแบบจำลองรูปร่างโมเลกุลที่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง จับหมุนๆ โยกซ้ายโยกขวาได้ ก็ต้องเลือกแบบจำลองที่อิงกับ classical physics ซึ่งอธิบายได้แค่โมเลกุลที่อยู่นิ่งๆ แต่อธิบายกลไกการเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น การเปลี่ยนระดับพลังงาน, การย้ายตำแหน่ง, และการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ฯลฯ ไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของ quantum physics แต่หากนักเคมีสร้างแบบจำลองที่อิงกับ quantum physics มันก็จะกลายเป็นงานระดับโคตรยักษ์ที่ต้องใช้พลังงานการประมวลผลสูงมากจนไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนรับไหว เพราะแบบจำลองจะต้องคำนวณสถานะของอิเล็กตรอนหรือโมเลกุลทุกตัวที่อยู่ในระบบแบบ real time (ระบบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่โมเลกุล 2-3 ตัวมาวิ่งชนกัน แต่หมายถึงโมเลกุลเป็นล้านๆ ตัวรวมถึงอันตรกิริยาที่โมเลกุลกระทำกับสิ่งแวดล้อมด้วย)
จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1970 เมื่อ Arieh Warshel ได้เข้ามาร่วมทำงานกับ Martin Karplus ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ขณะนั้น Martin Karplus ก็ถือได้ว่าเป็นผู้จัดเจนทางด้าน quantum physics แถวหน้าของวงการแล้ว เขาได้พัฒนา "Karplus Equation" ซึ่งเป็นสมการสำคัญในงานที่ใช้ Nuclear Magnetic Resonance (NMR) ส่วน Arieh Warshel นั้นเป็นนักวิจัยหนุ่มไฟแรงที่เชี่ยวชาญทางด้านแบบจำลอง classical physics งานแรกของทั้งคู่จึงมีเป้าหมายอยู่ที่การสร้างแบบจำลองที่ใช้ผสาน classical physics เข้ากับ quantum physics
หลังจากซุ่มพัฒนาร่วมกับ Michael Levitt ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ Golem ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอยู่สองปี ในปี 1972 Arieh Warshel กับ Martin Karplus ก็ประสบความสำเร็จ เขาทั้งคู่สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในโมเลกุล retinal ขึ้นมา ในแบบจำลองนั้นพวกเขาใช้ quantum physics อธิบายการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระซึ่งเป็นกุญแจหลักในการเปลี่ยนโครงสร้างของ retinal และใช้ classical physics อธิบายอิเล็กตรอนที่เหลือ วิธีนี้ทำให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลออกมาได้โดยไม่ต้องคำนวณสถานะของอิเล็กตรอนทุกตัวในระบบ เป็นครั้งแรกในโลกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถใส่ทั้ง quantum physics และ classical physics เข้าไว้ในแบบจำลองที่ใช้อธิบายปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม แบบจำลองของ Arieh Warshel กับ Martin Karplus ก็ยังมีข้อจำกัด มันใช้ได้กับโมเลกุลที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนเท่านั้น
หลังจาก Arieh Warshel จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาก็ได้วนมาทำงานร่วมกับ Michael Levitt อีกครั้งที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ทั้งคู่มุ่งหวังที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดเรื่องขนาดของโมเลกุล งานนี้นับว่ายากเย็นกว่างานที่ตีพิมพ์ในปี 1972 หลายเท่า เขาทั้งสองทุ่มเทพัฒนาปรับปรุงแบบจำลองและสมการคณิตศาสตร์เป็นเวลาหลายปี ในที่สุดเมื่อ ค.ศ. 1976 พวกเขาก็หาทางออกได้สำเร็จ
ทางออกดังกล่าวก็คือ การออกแบบแบบจำลองให้มุ่งไปที่ใจกลางบริเวณส่วนที่เกิดปฏิกิริยาเพียงอย่างเดียว ส่วนอะตอมในบริเวณที่ไม่เกี่ยวข้องก็ยุบรวม (merge) ด้วยวิธีการที่พวกเขาพัฒนาขึ้นเพื่อลดภาระการประมวลผล (นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อมาได้ปรับปรุงงานของทั้งคู่เพิ่มขึ้นอีกชั้น โดยการยุบรวมอะตอมในส่วนที่อยู่ห่างไกลจากปฏิกิริยาเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นการเพิ่มความแม่นยำของแบบจำลองและลดภาระการประมวลผลลงไปอีกระดับในคราวเดียว)
ทุกวันนี้ผลงานที่ Martin Karplus, Michael Levitt และ Arieh Warshel ร่วมกันสร้างรากฐานได้กลายมาเป็นเครื่องมือหลักให้นักวิทยาศาสตร์ใช้ศึกษาปฏิกิริยาเคมีที่ซับซ้อนและโมเลกุลขนาดใหญ่อันมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างมหาศาลในหลายด้าน เช่น การออกแบบยา, การสร้างโซล่าร์เซลล์, การศึกษาปฏิกิริยาที่ใช้ตัวเร่ง (catalyst) ฯลฯ และในอนาคตมันก็อาจจะเป็นบันไดที่ให้นักวิทยาศาสตร์ก้าวขึ้นไปสู่การสร้างแบบจำลองที่อธิบายปฏิกิริยาชีวเคมีของเซลล์สิ่งมีชีวิตได้ทั้งเซลล์
ที่มา - Nobel Prize Press Release, jusci.com
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556
นักวิทย์เบลเยี่ยม-อังกฤษคว้าโนเบลฟิสิกส์ปี 2556 Francois Englert, Peter W. Higgs
นักวิทย์เบลเยี่ยม-อังกฤษคว้าโนเบลฟิสิกส์ปีนี้
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2556 เวลา 18:50 น.
นักวิทยาศาสตร์จากเบลเยี่ยม และอังกฤษ ควงคู่รับโนเบลสาขาฟิสิกส์ตามคาด จากผลงานการค้นพบอนุภาคพระเจ้า
ภาพบรรยากาศสุดหรูและเหตุผลว่าทำไมถึงได้รางวัล
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ว่า ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน ในกรุงสตอกโฮล์ม ได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2556 ออกมาแล้ววันนี้ ปรากฎว่านายฟรังซัวส์ อังแกลต์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม และปีเตอร์ ฮิกส์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ร่วมกันคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ไปครองได้ จากผลงานการค้นพบอนุภาคฮิกส์โบซอน หรือ “อนุภาคพระเจ้า” ซึ่งอธิบายเหตุผลของการมีอยู่ของมวลในจักรวาล ทั้งคู่ได้ค้นพบทางทฤษฎีของกลไกที่สนับสนุนความเข้าใจเรื่องกำเนิดสสารทั้งมวลของอนุภาคย่อยของอะตอม
ทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 คน ได้รับการยืนยันเมื่อปีที่แล้ว ด้วยการค้นพบอนุภาคฮิกส์ ซึ่งที่รู้กันในชื่อฮิกส์โบซอนด้วย ที่ห้องทดลองในนครเจนีวา โดยองค์การวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือเซิร์น ยืนยันสิ่งที่พวกเขาค้นพบ คืออนุภาคฮิกส์อย่างแน่นอน
การประกาศรายชื่อเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีนี้ ถูกเลื่อนออกไป 1 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ทางราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนไม่ได้ให้เหตุผลในทันที่ แต่เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ระบุในทวิตเตอร์ว่า ยังคงมีการประชุมอยู่ในช่วงเวลาที่จะมีการประกาศรายวัลดังกล่าว โดยราชบัณฑิตสภาฯ ลงมติด้วยเสียงข้างมากให้นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ครองรางวัลนี้ร่วมกัน
ที่มา : dailynews.co.th/world/238858
บทความที่เกี่ยวข้อง http://xsci.blogspot.com/2013/05/lhc-higgs-boson.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)