วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

AEC 1 ใน 3 เสาหลักของ ASEAN

          คำว่าภูมิภาคอาเซียน เราได้ยินคุ้นหูเป็นอย่างดีเพราะว่ามีการก่อตั้งมายาวนาน ซึ่งเริ่มต้นโดยประเทศไทยเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2510 นับถึงปัจจุบันก็ 46 ปี มีสมาชิกร่วมก่อตั้งเริ่มแรกคือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์  นับถึงปัจจุบันมีประเทศสมาชิกเพิ่มใหม่อีก 5 ประเทศ ได้แก่ บรูไน เวียดนาม พม่า ลาว และล่าสุดคือกัมพูชา รวมทั้งสิ้น 10 ประเทศ
          อาเซียนได้มุ่งเน้นสร้างความแข็งแกร่งให้กับประชาคมเริ่มต้นเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ.2552 โดยเน้น 3 เสาหลักอันได้แก่
1.ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน  (ASEAN Security Community – ASC)

2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC)

+มุ่งให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของ สินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมภายในปี 2020

+ทําให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base)

+ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียนเพื่อลดช่องว่างการพัฒนาและช่วยให้ประเทศเหล่านี้เข้าร่วมกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน

+ส่งเสริมความร่วมมือในนโยบายการเงินและเศรษฐกิจมหภาคตลาดการเงินและตลาดทุน การปะกันภัยและภาษีอากร การพัฒนาโครงสร้างพิ้นฐานและการคมนาคม พัฒนาความร่วมมือด้านกฎหมาย การเกษตร พลังงาน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยการยกระดับการศึกษาและการพัฒนาฝีมือแรงงาน

3.ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC)
ดังนั้นสิ่งที่เราตื่นตัวในปัจจุบันก็คือ AEC เป็น 1 ในสามเสาหลักของอาเซียนที่สำคัญยิ่ง

สิ่งสำคัญในการปรับตัวรับกับการมาถึงของ AEC นั้นก็คือการศึกษาและควรจะศึกษาด้านอะไรบ้างอาจไม่ใช่เพียงภาษาอังกฤษเสียแล้ว และเราต้องเรียนรู้อะไรบ้างถึงจะรับมือกับ AEC ได้เป็นอย่างนี้ จุดนี้ให้เรายึดคติรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เพื่อตั้งรับและรุก หรือรุกขณะรับได้

+มาเลเซีย ได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 2500 นับถึงปี 2556 รวม 56 ปี  มีพัฒนาการทางการศึกษาที่ก้าวหน้าอย่างไม่ธรรมดา การศึกษาของมาเลเซียได้การวางรูปแบบโดยอังกฤษใน พ.ศ. 2500

+สิงคโปร์ ประเทศที่แยกออกมาจากมาเลเซียเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 2508 นับถึงปี 2556 รวมเวลา 48 ปีผ่านมา แต่สิงคโปร์มีมหาวิทยาลัยอันดับแรก ๆ ของโลกและมีการจัดระบบการศึกษาที่มีคุณภาพสูงมากนับตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย แม้แต่โอบาม่ายังเคยกล่าวว่าการศึกษาในระดับ Middle School หรือ ป.6-ม.ปลาย ของสิงคโปร์มีคุณภาพเหนือกว่าอเมริกาเลยทีเดียว* สิงคโปร์จะเน้นส่งเสริมการศึกษาทุ่มทุนสูงเพื่อสร้างบุคคลากรให้มีคุณภาพสูงมาก ๆ โดยเน้นการวิจัยและการมีส่วนร่วมระหว่างเอกชนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงจุด มีมหาวิทยาลัยทั้งหมด 6 แห่ง แต่มี 2 แห่งที่ติดอันดับ TOP 100 มหาวิทยาลัยดีเด่นของโลก ได้แก่ NUS : National University of Singapore กับ NTU : Nanyang Technogical Univesity

+ในปี 2519 เวียดนามที่ผ่านสภาวะสงครามยืดยื้อจนเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้คนล้มตายนับไม่ถ้วนเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านพ้นมา 36 ปี การสร้างประเทศยิ่งกว่าเริ่มจากติดลบ แต่ปัจจุบันไทยเราต้องไปดูงานด้านการศึกษาที่นั่น ไทยเรามีกระแสกลัวเวียดนามแซงหน้าซึ่งต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา หรือด้านอื่น ๆ

+ประเทศไทยแลนด์แดนสยามไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครเรามีเอกราชชาติสยามตลอดเวลาจนปัจจุบันกลับโดนประเทศน้องใหม่เหล่านั้นพัฒนารุดหน้าไปเรียกว่าไม่เห็นฝุ่นถ้าเทียบกับสิงคโปร์  ทั้งนี้ทั้งนั้นประเด็นนี้ผมไม่ได้จะดูถูกประเทศไทยเราเองเพียงแต่ว่ามันน่าตกใจที่ประเทศเราพัฒนาได้เชื่องช้ามากมายขนาดนี้ เพราะอะไรกัน? มีมหาวิทยาลัยของไทยแห่งหนึ่งที่ถูกจัดให้ติดอันดับโลกโดย Time ได้แก่ ม.พระจอมเกล้าธนบุรี  ส่วนอันดับของเอเชีย ม.พระจอมเกล้าธนบุรี อันดับที่ 55, ม.มหิดล อันดับที่ 61, ม.จุฬาลงกรณ์ อันดับที่ 82
          การพัฒนาการการศึกษาของไทยที่เห็นแล้วไม่ตรงเป้าไม่ว่าจะเป็นการแจกแทบแลตยังไม่เห็นผลของพัฒนาการที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบการการเรียนแบบเดิมหรือประกอบสื่อการเรียนอื่น ๆ  การยุบโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งเป็นสถาบันที่ใกล้ชิดคนท้องถิ่น โรงเรียนขนาดเล็กมีเด็กน้อยมีครูสอนครูที่ดีก็มีโอกาสเข้าถึงนักเรียนได้ง่ายสอนเจาะจงได้ง่ายกว่า ซึ่งโดยมาตรฐานกำหนดให้ ครู 1 คนต่อผู้เรียน 45 คนซึ่งแน่นอนว่าดูแลไม่ทั่วถึง และการเปลี่ยนทรงผมจากตัดเกรียนเป็นไว้รองทรงการเอาอกเอาใจโดยการเปลี่ยนทรงผมตามแฟชั่นวัยรุ่น สิ่งเหล่านี้รัฐล้วนกระตือรือร้นทำ หรือแนวทางแบบนี้เรียกว่าพัฒนา
          การเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญที่มีเพียงในเอกสารไม่เน้นปฏิบัติ การเรียนการสอนในห้องเป็นไปอย่างลูกผีลูกคน เน้นให้นักเรียนไปกวดวิชาติวเตอร์ เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ให้ครูผู้สอนนอกเวลาทำงาน ถ้าเป็นโรงเรียนรัฐในระดับประถม หรือมัธยม มีผู้บริการอาวุโสเตรียมเกษียรอายุราชการอีก 5 ปีข้างหน้าหลายท่านหยุดนิ่งไม่พัฒนาใด ๆ เพียงเพื่อคิดว่าต้นเองใกล้เกษียรแล้วขี้เกียจแล้วรอรับเงินเดือนอย่างเดียว
          การเลือกเรียนด้านครูเพื่อเข้าเป็นผู้สอนแบบตั้งใจ ใจรัก แบบมีจิตวิญญาณ หาได้น้อยเต็มทีคณะครุศาสตร์นี้และอาชีพนี้เป็นเพียงอาชีพที่เก็บตกเหลือเลือกเท่านั้น เพราะเหตุผลเดียวคือเงินเดือนน้อยซึ่งก็น้อยจริงถ้าเปรียบกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจบัน ถ้าเป็นวิทยาลัยสอนในระดับอาชีวะศึกษา ปวช.-ปวส. ครูอาจารย์ที่เข้ามาสอนก็ขาดการคัดกรองเอาเฉพาะคนทีมีความเก่ง มีความสามารถอย่างแท้จริง มาสอนด้วยการอ่านหนังสือให้นักเรียน นักศึกษาฟัง บอกจด ท่องจำ สอนตามตำราเล่มเดียวที่มี การให้เกรดเป็นไปตามอารมณ์ อคติ การประจบประแจง และสเน่หา ผมยกตัวอย่างจุดอ่อนด้านมืดที่มีในวงการศึกษาใช่ว่าเป็นการดูถูกแต่เราต้องยอมรับแก้แก้ไขมัน
          การตื่นตัวด้านการศึกษาเพื่อรับ AEC ในปี 2558 สิ่งแรกที่นึกถึงคือเรื่องภาษาอังกฤษเท่าที่เห็นมีทั้งสถาบันการศึกษา บริษัท ห้างร้าน ผู้ประกอบการ ก็ฮิตกันเป็นเทรนเดียวกันว่า ต้องเรียนภาษาอังกฤษ แต่เรียนแล้วเราจะนำมาสื่อสารกับใคร เรามานั่งคิดกันหรือยังว่า ใน AEC ชาติไหนบ้างที่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับเราบ้าง และมาดูกันว่าภาษาราชการแต่ละประเทศนั้นคือภาษาอะไร

ภาษาราชการแต่ละประเทศ
อินโดนีเซีย  ใช้ภาษาอินโดนีเซีย
มาเลเซีย  ใช้ภาษา มาลายู หรือ ยาวี
ประเทศฟิลิปลินส์ ใช้ภาษา ฟิลิปิโน่
ประเทศสิงคโปร์ ใช้ภาษา อังกฤษ จีน มาเล ทมิฬ ภาษาที่ใช้บ่อยคือ อังกฤษ
ประเทศบรูไน ใช้ภาษา บรูไน
ประเทศเวียดนาม ใช้ภาษา เวียดนาม
ประเทศลาว ใช้ภาษา ลาว
ประเทศพม่า ใช้ภาษา พม่า
ประเทศเขมร ใช้ภาษา เขมร

          แต่ถึงอย่างไรก็กลับมีคำถามต่อไปว่าเราตื่นตัวแค่เรื่องภาษาอังกฤษอย่างเดียวใช่หรือไม่ แล้วนอกจากเรื่องภาษาแล้วเราเตรียมพร้อมด้านไหนอีกเพื่อรับมืออย่างเป็นผู้ทีได้เปรียบทางการค้า
         เมื่อได้เห็นจุดอ่อนของเราเองแล้วเราก็น่าจะทราบดีว่าประเทศอื่นก็มองจุดอ่อนของเราเป็นโอกาส เช่นเดียวกัน ผู้เหนือกว่าจะเข้ามาลงทุนด้านการศึกษาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะสิงคโปร์ที่มีโอกาสเข้ามาลงทุนด้านสถาบันการศึกษา ซึ่งนั่นเป็นทั้งวิกฤติและโอกาสในเวลาเดียวกัน  โอกาสก็คือคนไทยได้มีโอกาสได้เข้าสู่สถาบันที่ระบบการศึกษามีมาตรฐานระดับโลก โอกาสที่สองคือเป็นการสร้างแรงผลักให้การศึกษาไทยได้ขยับตัวพัฒนาให้เท่าทันจุดนี้ผู้ที่เข้าศึกษาก็จะได้ประโยชน์ รัฐบาลไทยจะเห็นถึงความสำคัญแค่ไหนในการผลักดันงบประมาณแนะนโยบายในการแข่งขัน และสถาบันการศึกษาเอกชนก็ต้องพัฒนาและปรับตัวให้มาตรฐานสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่อย่างมาก ซึ่งต้องใช้เงินทุน และรัฐบาลเองนอกจากจะผลักดันในส่วนการศึกษาของรัฐแล้ว จะให้สถาบันเอกชนได้พึ่งพามากแค่ไหน
          ที่ผ่านมาสถาบันการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนเล็งเห็น วิกฤติและโอกาส พร้อมทั้งปรับตัวกันหรือไม่ ตอบได้เลยว่าแทบจะไม่ได้ขยับตัวไปอยู่ในตำแหน่งผู้นำสถาบันการศึกษาคุณภาพระดับเอชีย ซึ่งยังไม่ต้องคาดหวังถึงระดับโลก คล้ายฟุตบอลไทยนั่นเอง เลยถ้าเทียบกับจำนวนหรือบ้านเราเน้นแค่ปริมาณ ปัจจุบันมี มหาวิทยาลัยรัฐทั้งหมด 27 แห่ง  มหาวิทยาลัยเอกชน 40 แห่ง  แต่กลับมีมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ติดอันดับมหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลกเพียงแห่งเดียว อันดับที่ 389 จากทั้งหมด 400 อันดับหรือว่าบ้านเราเน้นปริมาณเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจคุณภาพ

เขียน / เรียบเรียง : xsci

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ภาษาในประเทศต่าง ๆ
http://www.ceted.org/tutorceted/language.html
โอบาม่ากล่าวถึงการศึกษาสิงคโปร์
http://www.nytimes.com/2009/03/10/us/politics/10text-obama.html?pagewanted=all&_r=0
การศึกษาของเวียดนาม
http://blog.eduzones.com/tonsungsook/106556
ประวัติ 10 ประเทศอาเซียน
http://hilight.kapook.com/view/67028
เปรียบเทียบประเทศเวียดนามและประเทศไทย ด้านการศึกษา , ภาษาและการลงทุน ใน AEC
http://www.seminarwinyuchon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539375628
อันดับมหาลัยในสิงคโปร์
http://javaboom.wordpress.com/2013/05/21/singapore-university-ranking-2013-part01/ 
อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก
http://education.kapook.com/view48825.html
ระบบการศึกษาของมาเลเซีย
http://www.gotoknow.org/posts/200549

การศึกษาไทยและเวียดนาม thai and vietnam Education

เปรียบเทียบประเทศเวียดนามและประเทศไทย ด้านการศึกษา , ภาษาและการลงทุน ใน AEC

          หลังสิ้นสุดความวุ่นวายทางการเมืองที่ทอดยาวมาเป็นเวลานานนั้นเสียได้ นับถอยกลับไปหลังจากที่อเมริกาถอนทหารจากเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ.2516 กองกาลังเวียดนามเหนือและเวียดกงยึดไซ่ง่อนและเวียดนามใต้ได้ทั้งหมด ในปี พ.ศ.2518 เวียดนามเหนือ-ใต้ รวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เมื่อ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2519 กลายเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระยะ 36 ปีกว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมา เวียดนามกาลังกลายเป็นพญามังกรที่กางปีกเต็มที่ และพร้อมแล้วกับการบินทุกรูปแบบ ทั้งสูง ผาดโผน และนุ่มนวล โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสบินในสมรภูมิรบที่คุ้นเคย ซึ่งบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสมรภูมิการค้าเสรีใหญ่โตด้วยแล้ว ขณะเดียวกันก็จะทาให้การเติบโตและความรุ่งเรืองของเอเชียถีบตัวเป็นแม่เหล็กสาคัญในการลงทุนของโลกในอนาคต ท่ามกลางความตกต่าทางเศรษฐกิจของอเมริกาเหนือและกลุ่มอียู
          อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในเวียดนามทั้ง 58 จังหวัด และอีก 5 เทศบาลนคร โดยเฉพาะในนครฮานอยและนครโฮจิมินห์ มีทัศนคติค่อนข้างดีและมีการปรับตัวทางการศึกษาอย่างคึกคัก เหตุผลสาคัญคือกลุ่มคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ในเวียดนามค่อนข้างมั่นใจว่าการศึกษาและทักษะการใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เป็นตัวแปรสาคัญที่มีผลต่อชีวิตและสถานะของครอบครัว การศึกษาไทยเองก็ต้องให้ความสาคัญจุดนี้ให้มากด้วยเช่นกัน เพราะหากเทียบทักษะคนหนุ่มสาวไทย-เวียดนามที่อยู่ในช่วงระดับเดียวกันแล้ว คนไทยหาได้เปรียบอยู่มากไม่ เมื่อพิจารณาจากการใช้ภาษาอังกฤษเป็นเกณฑ์ในการวัด ราชอาณาจักรไทยเองในฐานะประเทศร่วมก่อตั้งอาเซียน ต้องลงทุนเรื่องมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมให้มาก งบประมาณต้องตั้งไว้อย่างเพียงพอเพื่อผลิตบุคลากรด้านนี้ให้ทันใช้งานในเวทีแข่งขันข้างหน้าที่การเปลี่ยนแปลงจะมีอยู่สูงตลอดจนการแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในการยกระดับมาตรฐานการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของอาเซียนให้สูงขึ้น ย้อนกลับมาวิเคราะห์การที่เวียดนามเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน นอกจากจะทาให้เวียดนามได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจรอบด้านจากอาเซียนแล้ว ยังทาให้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนาประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจการตลาดของเวียดนามโตวันโตคืน
          ฉะนั้น นับตั้งแต่เวียดนามประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนสนใจลงทุนในเวียดนามสูงขึ้นทันที เพราะเวียดนามเองก็ถือเป็นตลาดใหญ่กว่า 89 ล้านคน สมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีแรงงานที่มีค่าแรงถูก ศักยภาพของเวียดนามส่งผลให้ปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนอย่างสิงคโปร์เข้าไปลงทุนมากเป็นอันดับ 1 ไทยลงทุนเป็นอันดับ 2 และ 3 ตามลาดับ

ศูนย์บริการข้อมูลประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ธันวาคม 2555 ที่มา : ไทยโพสต์

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

bloger 100 million เขียนบล็อกรวยร้อยล้าน

..........การพยายามอธิบายเรื่องราวให้ผู้อื่นได้รับรู้นั้นมีอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่เข้าถึงง่ายที่สุดเบสิคที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การพูด ในปัจจุบันผู้อ่านสามารถเข้าถึงได้แสนง่ายดาย โดยการเผยแพร่ลง Blog แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จะเก่งและเฮงได้จนมีเงินนับร้อยล้านไหลเข้ามา และอีกหลายคนได้เป็นนักเขียนตัวจริง

หว่านหวาน หรือ หู เจีย เหวย บล็อกเกอร์สาวสวยชาวใต้หวัน โดยปกติเธอจะเป็นคนชอบบันทึกชีวิคประจำวันเหมือนคนทั่วไป แต่ด้วยการที่เป็นคนไม่ชอบเขียนอะไรเป็นเรื่องราวยาว ๆ เลยหาทางอธิบายเรื่องราวเป็นรูปภาพจากรากฐานที่ตนนั้นชอบอ่านการ์ตูนเป็นทุนอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยเลือกที่จะถ่ายทอดเรื่องราวเป็นตัวละครการ์ตูนที่เรียบง่ายเข้าใจง่่าย ในชื่อเดียวกับเธอเอง

สาวน้อยร้อยล้าน
ภาพประกอบจาก http://www.ecommerce-magazine.com/

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

easy panorama ภูชี้ฟ้า





AEC Education ระบบการศึกษาใน aec

1. การศึกษาของสิงคโปร์

         ระบบการศึกษาของสิงคโปร์แบ่งออกเป็นระดับประถม 6 ปี ระดับมัธยมศึกษา 4 ปี ซึ่งรวมแล้วเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างน้อย 10 ปี แต่ผู้ที่จะเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยจะต้องศึกษาขั้นเตรียมมหาวิทยาลัย อีก 2 ปี

         การศึกษาภาคบังคับของสิงคโปร์จะต้องเรียนรู้ 2 ภาษาควบคู่กันไป ได้แก่ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และเลือกเรียนภาษาแม่ (Mother Tongue) อีก 1 ภาษา คือ จีน (แมนดาริน) มาเลย์ หรือทมิฬ (อินเดีย)

         รัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก โดยถือว่าประชาชนเป็นทรัพยากรที่สำคัญ และมีค่าที่สุดของประเทศ ในการนี้ รัฐบาลได้ให้การอุดหนุนด้านการศึกษาจนเสมือนกับเป็นการศึกษาแบบให้เปล่า โรงเรียนในระดับประถม และมัธยมล้วนเป็นโรงเรียนของรัฐบาลหรือกึ่งรัฐบาล สถานศึกษาของเอกชนในสิงคโปร์ มีเฉพาะในระดับอนุบาล และโรงเรียนนานาชาติเท่านั้น

         มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์มี 3 แห่ง คือ :-

        1. National University of Singapore (NUS)

        2. Nanyang Technological University

        3. Singapore Management University (SMU)

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พรบ. นิรโทษกรรม ฉบับ วรชัย เหมะ

            มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการ เมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ..."

            มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

            มาตรา 3 ให้บรรดาการกระทำใด ๆ ของ บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการ เมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด เพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วงหรือการแสดงออกด้วยวิธีการใด ๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและ ความรับผิดโดยสิ้นเชิง
            การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใด ๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว
        
           มาตรา 4 เมื่อพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับแล้ว  ถ้า ผู้กระทำการตามมาตรา 3 วรรคหนึ่งยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาลหรืออยู่ในระหว่างการสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนผู้ซึ่งมีอำนาจสอบสวน หรือพนักงานอัยการระงับการสอบสวนหรือการฟ้องร้อง หากถูกฟ้องต่อศาลแล้วให้พนักงานอัยการ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้องหรือให้ถอนฟ้อง ถ้าผู้นั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีไม่ว่าจำเลยร้องขอหรือศาลเห็นเอง ให้ศาลพิพากษายกฟ้องหรือมีคำสั่งจำหน่ายคดี ในกรณีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษบุคคลใดก่อนวันที่พระราชบัญญัติ นี้มีผลใช้บังคับห้ถือว่าบุคคลนั้นไม่เคยต้องคำพิพากษา ว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นอยู่ระหว่างการรับโทษให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลงและปล่อยตัวผู้นั้น
         
          มาตรา 5 การนิรโทษกรรมตามพระราชบัญบัตินี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับนิรโทษกรรมในอันที่จะเรียกร้องสิทธิ หรือประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

            มาตรา 6 การดำเนินการใดๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็นการตัดสิทธิของบุคคลซึ่งไม่ใช่องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐในการเรียก ร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง จากการกระทำของบุคคลใดซึ่งพ้นจากความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และทำให้ตนต้องได้รับความเสียหาย

            มาตรา 7 ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

            ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

            นายกรัฐมนตรี

credit : vrzaa.net/node/541#sthash.kn2tK4zS.dpuf

เส้นทางเชื่อมอาเซียน R3A

        Update  เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11/12/13 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานร่วมในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ร่วมกับ ฯพณฯ บุนยัง วอละจิต รองประธานประเทศ สปป. ลาว โดยมีท่านนายกยิ่งลักษณ์ ผม และ รมต. อีกหลายท่านร่วมรับเสด็จ  ข่าวจาก FB : ສະເໜ່ເມືອງລາວ The Glory of Laos  ชัชชาติ สุทธิพันธ์ เขียน


          การรวมตัวของอาเซียนมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าการลงทุนระหว่างกันเป็นหลักเพราะฉะนั้นการขนส่งเพื่อกระจายสินค้ารวมไปจนถึงการดำเนินธุรกิจ จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ การขนส่งทางบกด้วยรถยนต์จึงเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้สูงมากเพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วและขั้นตอนการขนส่งเรียบง่ายที่สุดซึ่งนั่นก็หมายถึงต้นทุนที่ต่ำ เพียงแค่เปิดพรมแดนให้เชื่อมต่อกันเท่านั้นเองซึ่งนั่นก็คือเส้นทาง R3A ซึ่งเชื่อมต่อจากจีน สิบสองปันนา เข้าสู่ลาว เข้าสู่ไทยที่อำเภอเชียงของจังหวัดเชียงราย สภาพถนนเส้นนี้นับว่ามีสภาพดีพอสมควร จึงถูกคาดหมายให้เป็นถนนสายสำคัญเชื่อมระหว่างไทยและอาเซียนสำหรับประเทศที่มีแผนดินติดต่อกันการขนส่งทางบกจึงเป็นวิธีการที่น่าสนใจมากที่สุด
          จุดเชื่อมต่อข้ามพรมแดนไทยลาวแห่งที่ 4 ก็คือสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชียงของ-ห้วยทราย ซึ่งเป็นความร่วมมือของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ระหว่างไทย-จีน คนละ 50% โดยว่าจ้าง กลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ภายใต้งบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท ซึ่ง ณ ปัจจุบันคืบหน้าจนใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งผมมีภาพถ่ายสะพานแห่งนี้ ถ่ายในวันที่วันที่ 12 สิงหาคม 2556 มา Update ให้ดูกัน


ดู R3 Road,ถนนสาย R3 ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า


ชมภาพการเริ่มก่อสร้างก่อนจะถึงวันนี้กันซักนิด

ภาพประกอบ : เส้นสีเขียวคือตัวแทนตำแหน่งสะพาน เส้นโค้ง ๆ รูปเกือกม้าที่ลูกศรเขียวซ้ายมือ คือจุดกลับรถใต้สะพานในปัจจุบัน ภาพจาก Google Earth

ภาพประกอบ : ระหว่างการวางตอหม้อสะพานเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ภาพจาก Google Earth


ภาพประกอบ : สะพานเชียงของ-ห้วยทราย ความร่วมมือไทย-จีน เพื่อรับ AEC

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ถนนสุดอันตรายที่สุดของโลก

ถ้าหากในวันหนึ่งคุณได้ขับรถไปยังสถานที่เหล่านี้คงจะสัมผัสได้ถึงความน่า กลัวผสานกับความสวยงามอยู่ในนั้นเส้นทางที่คดโค้งจนเกินจินตนาการ ซึ่งทุกสัมผัสขณะนั้นเสี่ยงเหมือนได้เดินทางอยู่บนเส้นด้าย...ที่ความเป็น ความตายจะเกิดขึ้นได้...ทุกวินาที

เส้นทางแรก North Yungas Road, Bolivia โบลิเวีย
เส้น ทางนี้เป็นที่รู้จักกันในนามเส้นทางแห่งความตาย ถนนมีเลนเดียวมักจะมีรถบรรทุกวิ่งผ่าน สภาวะอากาศในบางครั้ง อาจมีหมอกหนา มีฝนตก ทำให้เส้นทางลื่นเสี่ยงอันตรายที่จะตกเหวที่ลึกมาก...ซึ่งก็เกิดขึ้นบ่อย




วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Benzene ไอระเหยก่อมะเร็ง ผลพวงน้ำมันรั่วที่เกาะเสม็ด


          จากเหตการณ์น้ำมันดิบรั่วในทะเลจนส่งผลให้อ่าวพร้าวเกาะเสม็ดเป็นพื้นที่ ๆ ได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมันดิบที่ลอยมาติดชายหาดและทะเลแถบนั้นจนเรียกได้ว่าเป็นทะเลสีดำ ซึ่งหารู้ไม่ว่านั่นคือสารพัดสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหนในพื้นที่นั่นล้วนได้รับสารเคมีกันเต็ม ๆ สัตว์ที่เป็นอาหารมนุษย์ก็จะได้รับสารเคมีส่วนที่ยังไม่ตายก็ตกถึงจานอาหารใครซักคน หรือส่วนของการแก้ปัญหาคราบน้ำมันโดยแรงงานคนนั้นจะเห็นได้ว่าบริษัทที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานเลย โดยสังเกตุจากชุดป้องกันและหน้ากากกันสารเคมีที่ได้มาตรฐาน โดยเมื่อต้องลุยอยู่กับสารเคมีที่พร้อมจะเข้าสู่ร่างกาย ทั่งไอปรอท ไอเบนซิน ไปปรอทซึมเข้าสู่ผิวหนังไปสะสมอยู่ที่ไขกระดูกส่งผลให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ ไอเบนซินก็เช่นเดียวกัน ซึ่งมาดูรายละเอียดของเบนซินกัน ดังนี้
Benzene
นพ.วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์ (31 พฤษภาคม 2555)
ชื่อ เบนซีน (Benzene) ||||| ชื่ออื่น Phenyl hydride, Cyclohexatriene, 1,3,5-Cyclohexatriene, Cyclohexa-1,3,5-triene, Benzohexatriene, Benzol, Pyrobenzole, Coal naphtha
สูตรโมเลกุล C6H6 ||||| น้ำหนักโมเลกุล 78.1 ||||| CAS Number 71-43-2 ||||| UN Number 1114
ลักษณะทางกายภาพ ของเหลว ไม่มีสี มีกลิ่นหอมอโรมาติก ระเหยเป็นไอได้ง่าย
คำอธิบาย เบนซีน (Benzene) เป็นตัวทำละลายกลุ่มอโรมาติกชนิดหนึ่ง ลักษณะใสไม่มีสี ที่ความเข้มข้นต่ำๆ จะมีกลิ่นหอม ในอดีตนิยมใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมหลายชนิด สารเบนซีนมีคุณสมบัติกดไขกระดูก และก่อมะเร็งเม็ดเลือดขาวในมนุษย์ ปัจจุบันจึงมีการใช้น้อยลง แต่ยังสามารถพบได้ในอุตสาหกรรมบางประเภท และการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
ค่ามาตรฐานในสถานที่ทำงาน ACGIH TLV – TWA 0.5 ppm, STEL 2.5 ppm ||||| NIOSH REL – Ca, TWA 0.1 ppm, STEL 1 ppm ||||| OSHA PEL – TWA 1 ppm, STEL 5 ppm ||||| IDLH 500 ppm ||||| กฎหมายแรงงานไทย TWA 10 ppm, Ceiling 25 ppm, Maximum 50 ppm in 10 minutes
ค่ามาตรฐานในสิ่งแวดล้อม EPA NAAQS – N/A ||||| กฎหมายสิ่งแวดล้อมไทย – มาตรฐานค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศทั่วไปในเวลา 1 ปี ต้องไม่เกิน 1.7 ug/m3
ค่ามาตรฐานในร่างกาย ACGIH BEI – S-Phenylmercapturic acid ในปัสสาวะหลังเลิกงาน 25 ug/g Cr, t,t-Muconic acid ในปัสสาวะหลังเลิกงาน 500 ug/g Cr
คุณสมบัติก่อมะเร็ง IARC Group 1 ||||| ACGIH A1 Carcinogenicity
แหล่งที่พบในธรรมชาติ

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แนะนำคลังภาพ 360

http://www.360cities.net/

ภาพตัวอย่าง มุมมองแบบ pano มองรอบด้านจากเมืองและสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก


วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คู่มือการพิมพ์หนังสือราชการ โดยใช้โปรแกรม Microsoft word


ขั้นตอนการปฏิบัติ
1.  หลังจากติดตั้งโปรแกรม Microsoft Word และจัดเตรียมโครงร่างงานที่จะทำการบันทึก
2.  เข้าโปรแกรม Microsoft Word โดยคลิกที่ปุ่ม Start เลือก Programs จากนั้นเลื่อนเมาส์ไปที่ Microsoft Office แล้วคลิกที่ Microsoft Word
             -  จากนั้นจะปรากฏหน้าจอของ Microsoft Word  ขึ้นมา  ดังรูป
3. .  ตั้งกั้นหน้าและก้นหลังของเอกสาร
3.1 คลิกที่ปุ่มแฟ้ม เลือก ตั้งค่าหน้ากระดาษ
- ตั้งค่าหน้ากระดาษด้านบน  1.02  เซนติเมตร
-  ตั้งค่าหน้ากระดาษด้านล่าง  1  เซนติเมตร
-  ตั้งค่าหน้ากระดาษด้านซ้าย  3.17  เซนติเมตร
-  ตั้งค่าหน้ากระดาษด้านขวา  1.5  เซนติเมตร
แล้วกดปุ่ม ตกลง

จีนและรัสเซียร่วมซ้อมรบทางทะเล 2556

           น่านน้ำทางทะเลมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างสูงต่อการรบจนมีคำกล่าวที่ว่า "ผู้ที่ครองน่านทะเลได้เท่ากับครองโลก" ซึ่งในความเป็นจริงนั้น อเมริกาได้ทำให้โลกได้ประจักษ์แล้วโดยมีกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก จนกดดันให้ชาติที่เีรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจในยุคปัจจุบันเช่นเดียวกันอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ อย่างเช่นจีนก็ดิ้นพัฒนากองเรือให้ก้าวหน้าเพื่อถ่วงดุลอำนาจ เราจะได้ยินข่าวว่าจีนแอบซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินเก่าของรัสเซียไปซ่อมและใช้งานได้แล้วในปัจจุบัน ส่วนรัสเซียเองก็เป็นมหาอำนาจเก่าที่มีกองกำลังทางทหารและเทคโนโลยีที่ก้าวทันอเมริกาตลอดแก้ทางกันตลอด เป็นหมีที่แสดงตัวว่าหลับไหล ภายใต้การพัฒนาทางทหารอย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน  
          จีนและรัสเซียร่วมซ้อมรบทางทะเล ที่ Peter the Great Bay มีทหารร่วมฝึกซ้อมกลยุทธทางเรือ กว่า 4,000 นาย

กองเรือกำลังประสานการซักซ้อมเพื่อพร้อมรบ