Mallika Boonmeetrakool
เมื่อ
วันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา สภาทนายความได้ออกแถลงการณ์
"การปฏิบัติตนและการปฏิบัติหน้าที่ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"
เรียกร้องให้ ส.ส. ส.ว. รัฐมนตรี
ที่ปฏิเสธคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขที่มา ส.ว.
และนายกรัฐมนตรีที่ทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น
มิบังควรที่จะเข้าเฝ้าถวายพระพรในการออกมหาสมาคมในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5
ธันวาคม โดยให้เหตุผลว่า "เพราะเป็นการปฏิเสธพระราชอำนาจในทางตุลาการ"
และกระทำโดยที่ "ที่ผู้กระทำยังมิได้รู้สำนึก"
โดยมีรายละเอียดของแถลงการณ์ดังนี้
แถลงการณ์ของสภาทนายความ
เรื่อง การปฏิบัติตนและการปฏิบัติหน้าที่ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ตามที่ปรากฏความชัดเจนแล้วว่ามีคณะบุคคล ข้าราชการทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ หัวหน้าพรรคการเมือง แสดงออกโดยชัดแจ้งถึงการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นั้น สภาทนายความเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะเผยแพร่ให้สาธารณ ชนทั่วไปทราบถึงข้อกฎหมายและการบังคับใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1.ผู้ที่มีหน้าที่และต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มาตรา 216 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ” ความชัดเจนของบทบัญญัตินี้จึงไม่อาจแปลความเป็นอย่างอื่นได้ว่าจะมีองค์กรใด บุคคลหรือคณะบุคคลใดที่จะสามารถปฏิเสธหลักการถ่วงดุลย์ในระบอบประชาธิปไตย ตามหลักสากล
2.หลักการถ่วงดุลย์นี้มีปรากฏตามพระบรมราชปณิธาณ ที่ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ มีความตอนหนึ่งอยู่ในวรรคสามว่า “...การยึดถือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นวิถีทาง ในการปกครองประเทศการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่าง เป็นรูปธรรม การกำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภา รวมทั้งให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริต เที่ยงธรรม” จึงเป็นการวางหลักการถ่วงดุลย์อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ทาง ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
3.หลักการของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและทรงใช้พระ ราชอำนาจทั้งทางบริหารผ่านรัฐบาล ทางนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา และทางตุลาการผ่านศาล นี้เป็นความสมดุลย์ที่สอดคล้องกัน การที่มีกลุ่มบุคคล สมาชิกพรรคการเมือง รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาปฏิเสธคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการไม่ชอบของการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา หรือรัฐมนตรีที่ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม การแสดงออกต่อสาธารณะถึงการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเท่ากับเป็น การปฏิเสธพระราชอำนาจในทางตุลาการ ทั้งหากมีการกระทำดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่โดยที่ผู้กระทำยังมิได้รู้สำนึก รวมตลอดถึงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่กราบบังคมทูลเกล้าขอพระราชทานร่างแก้ไขรัฐ ธรรมนูญฉบับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วกลับคืน จึงเป็นการกระทำผิดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบที่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือบุคคลใดควรที่จะถือปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อใกล้วันที่เข้าเฝ้าถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงเสด็จออกมหาสมาคมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมนี้ ผู้ที่ปฏิเสธคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมิบังควรที่จะเข้าเฝ้าถวายพระพรใน ขณะที่ตนเองยังดื้อรั้นปฏิเสธอำนาจตุลาการที่พระองค์ทรงใช้ผ่านทางศาล
แถลงการณ์ของสภาทนายความ
เรื่อง การปฏิบัติตนและการปฏิบัติหน้าที่ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ตามที่ปรากฏความชัดเจนแล้วว่ามีคณะบุคคล ข้าราชการทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ หัวหน้าพรรคการเมือง แสดงออกโดยชัดแจ้งถึงการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นั้น สภาทนายความเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะเผยแพร่ให้สาธารณ ชนทั่วไปทราบถึงข้อกฎหมายและการบังคับใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1.ผู้ที่มีหน้าที่และต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มาตรา 216 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ” ความชัดเจนของบทบัญญัตินี้จึงไม่อาจแปลความเป็นอย่างอื่นได้ว่าจะมีองค์กรใด บุคคลหรือคณะบุคคลใดที่จะสามารถปฏิเสธหลักการถ่วงดุลย์ในระบอบประชาธิปไตย ตามหลักสากล
2.หลักการถ่วงดุลย์นี้มีปรากฏตามพระบรมราชปณิธาณ ที่ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ มีความตอนหนึ่งอยู่ในวรรคสามว่า “...การยึดถือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นวิถีทาง ในการปกครองประเทศการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่าง เป็นรูปธรรม การกำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภา รวมทั้งให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริต เที่ยงธรรม” จึงเป็นการวางหลักการถ่วงดุลย์อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ทาง ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
3.หลักการของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและทรงใช้พระ ราชอำนาจทั้งทางบริหารผ่านรัฐบาล ทางนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา และทางตุลาการผ่านศาล นี้เป็นความสมดุลย์ที่สอดคล้องกัน การที่มีกลุ่มบุคคล สมาชิกพรรคการเมือง รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาปฏิเสธคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการไม่ชอบของการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา หรือรัฐมนตรีที่ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม การแสดงออกต่อสาธารณะถึงการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเท่ากับเป็น การปฏิเสธพระราชอำนาจในทางตุลาการ ทั้งหากมีการกระทำดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่โดยที่ผู้กระทำยังมิได้รู้สำนึก รวมตลอดถึงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่กราบบังคมทูลเกล้าขอพระราชทานร่างแก้ไขรัฐ ธรรมนูญฉบับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วกลับคืน จึงเป็นการกระทำผิดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบที่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือบุคคลใดควรที่จะถือปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อใกล้วันที่เข้าเฝ้าถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงเสด็จออกมหาสมาคมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมนี้ ผู้ที่ปฏิเสธคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมิบังควรที่จะเข้าเฝ้าถวายพระพรใน ขณะที่ตนเองยังดื้อรั้นปฏิเสธอำนาจตุลาการที่พระองค์ทรงใช้ผ่านทางศาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น