เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม ในการปฏิบัติสมาธินั้น แนวทางปฏิบัติทั่วไป ก็อาศัยแนวทางแห่งองค์ทั้ง ๕ ของปฐมฌาน คือฌานที่ ๑ อันคำว่า ฌาน นั้นตามศัพท์แปลว่าความเพ่ง หมายถึงจิตที่เพ่งแนบแน่น เป็นอัปปนาสมาธิ คือสมาธิที่แนบแน่น จึงจะเรียกว่าฌานคือความเพ่ง เป็นความเพ่งของจิตในกรรมฐานอย่างแนบแน่น จึงจะเรียกว่าฌาน ซึ่งอัปปนาสมาธิ สมาธิอย่างแนบแน่นอันเรียกว่าฌานนั้น ก็ยังมีลักษณะของความแนบแน่นเป็นชั้นๆขึ้นไป
สำหรับในชั้นแรกซึ่งเป็นปฐมฌานความเพ่งที่ ๑ นั้น มีองค์ ๕ คือ ๑ วิตก ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐาน ซึ่งเราแปลกันทั่วไปว่าความตรึก แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความตรึกนึกคิดทั่วไป แต่หมายถึงความตรึกนึกกำหนดในอารมณ์ของกรรมฐานเท่านั้น ๒ วิจาร ความตรอง ที่แปลกันทั่วไปว่าความตรอง แต่สำหรับสมาธิหมายถึงความประคองจิตไว้ในอารมณ์ของกรรมฐาน คือให้ตรึกนึกกำหนดอยู่จำเพาะอารมณ์ของกรรมฐานเท่านั้น ความที่คอยประคองจิตไว้ดั่งนี้เรียกว่าวิจาร ซึ่งมักแปลกันทั่วไปว่าความตรอง แต่ไม่ได้หมายความถึงความตรองเรื่องอะไรต่ออะไร ๓ ปีติ ความอิ่มใจดูดดื่มใจ ๔ สุข ความสบายกายความสบายใจ และ ๕ เอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์อันเดียว ซึ่งเป็นลักษณะของสมาธิโดยตรง เพราะสมาธิโดยตรงนั้นจะต้องมีเอกัคคตา คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว หรือความมีอารมณ์เป็นอันเดียวกันของจิต เรียกว่าเอกัคคตาเป็นลักษณะของสมาธิทั่วไป องค์ทั้ง ๕ นี้เป็นองค์ของฌาน ตั้งต้นแต่ปฐมฌานคือฌานที่ ๑ แต่แม้ว่าจิตจะยังไม่เป็นสมาธิแนบแน่นถึงปฐมฌาน ในการปฏิบัติสมาธิตั้งแต่เบื้องต้นที่เป็นขั้น บริกัมมภาวนา การภาวนาเริ่มต้น อุปจารภาวนา ภาวนาที่จิตเป็นสมาธิใกล้จะแนบแน่น ก็จะต้องอาศัยการปฏิบัติในองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ เป็นอันว่าจะต้องมีการอาศัยองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น คือ ๑ ในการเริ่มปฏิบัติในขั้นบริกัมมภาวนา ก็จะต้องมีวิตก คือความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิ ดั่งเช่นจะยกเอาลมหายใจเข้า ลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ของสมาธิ คือเป็นกรรมฐานที่จะปฏิบัติ ก็ต้องยกจิตมากำหนดอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ตั้งต้นแต่ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ว่านั่งกายตรง ดำรงสติมั่น จำเพาะหน้า คือนำสติมาตั้งอยู่จำเพาะลมหายใจเข้าออก เรียกว่าจำเพาะหน้า เพราะว่าต้องการลมหายใจเข้าออกมาเป็นกรรมฐาน ลมหายใจเข้าออกจึงได้ถูกยกขึ้นมาไว้จำเพาะหน้า จำเพาะหน้าของจิตนั้นเอง เหมือนอย่างจิตเป็นบุคคล ก็มีหน้าจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ดูอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เห็นอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ด้วยสติคือความกำหนด อาการที่ยกจิตขึ้นสู่ลมหายใจเข้าออก กำหนดอยู่ด้วยสติ หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ ดั่งนี้เรียกว่าวิตกคือความตรึก ต้องใช้วิตกคือความตรึกนี้ ตรึกถึงสมาธิ คือตรึกถึงอารมณ์ของสมาธิ แต่ไม่ตรึกนึกคิดไปในเรื่องอื่นตั้งแต่ในเริ่มต้น อันนี้แหละเป็นตัวบริกัมมภาวนา คือการภาวนาที่เป็นการปฏิบัติเบื้องต้น ต้องมีการกระทำโดยรอบ
วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557
thundercloud-สายฟ้าคำราม เมื่อยามฝนโปรย
ภาพลักษณะการเกิดฟ้าแลบฟ้าฝ่า credit: OutdoorEd.com |
วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557
สิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ยูโรปา-Moon Europa
ยูโรปาดวงจันทร์จิ๋วของดาวพฤหัส มีขนาดเล็กกว่าโลกหลายเท่าตัว ดาวที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและภายใต้น้ำแข็งนั้นเป็นมหาสมุทรน้ำในสถานะของเหลวในปริมาณที่มากกว่าโลกถึง 2-3 เท่า และหากถามว่ายูโรป้ามีพลังงานความร้อนมาจากไหนในเมื่อพลังจากแสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง เพราะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ 960 ล้านกิโลเมตร พลังงานความร้อนของยูโรปาเกิดจากการยึดหดตัวของดาวที่เกิดจากแรงดึงดูดจากดาวพฤหัส ทำให้เกิดการยืดหดแบบเดียวกับลูกเทนนิสที่โดนตี หรือลูกฟุตบอลที่โดนเตะและคืนสภาพเดิม ทำให้พื้นมหาสมุทรมีพลังงานความร้อนจนน้ำแข็งหลอมเหลว น้ำเป็นสภาวะเอื้อต่อการดำรงค์ชีวิต แม้ไม่มีแหล่งพลังงานจากดวงอาทิตย์ แต่จากการได้ศึกษาพบว่าสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากดวงอาทิตย์แต่เพียงอย่างเดียว พลังงานความร้อนจากแหล่งอื่นก็สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกัน ดังเช่นใต้มหาสมุทรลึกบนโลกเราคือปล่องน้ำพุร้อนที่ละลายแร่ธาตุออกมาเรียกว่า ปล่องไอดำ ในบริเวณนั้นพบว่ามีสัตว์ทะเลอาศัยอยู่อย่างมากมายโดยอาศัยพลังงานความร้อนและแร่ธาตุจากน้ำพุร้อนนั้นดุจโอเอซีสใต้ทะเล
วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557
โรคฉี่หนูอันตรายใต้สายฝน-Leptospirosis
โรคฉี่หนู Leptospirosis
เข้าสู่หน้าฝน ไม้ที่ผ่านความแห้งแล้งขาดน้ำจนต้นเหี่ยวเฉา ความชุ่มฉ่ำจากสายฝนมาเยือนก็เริ่มผลิใบอ่อนชูช่อ พืชพันธุ์ล้มลุกเริ่มแตกหน่อ เมล็ดพันธุ์เริ่มงอกงาม หมุนกงล้อชีวิตให้เดินหน้าต่อ ชีวิตคนเราก็ไม่ต่างกับสิ่งเหล่านี้ทุกนาทีเรากำลังก้าวผ่านกาลเวลา เผชิญปัญหาต่อสู้ดิ้นรน ผ่านทุกข์ สุข โรคภัย เพื่อก้าวไปข้างหน้า
ฤดูฝนในอีกมุมหนึ่งเชื้อโรคต่างๆ อาจจะแพร่เชื้อระบาดได้ง่าย ด้วยความชื้นแฉะ ในฤดูนี้มีโรคเกิดขึ้นได้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นโรคทางน้ำและอาหาร โรคทางเดินหายใจ น้ำกัดเท้า ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย และโรคฉี่หนูหรือโรค โรคเลปโตสไปโรซิส เป็นโรคติดต่อจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสู่คน (Zoonosis) โรคนี้เราอาจเข้าใจผิดไปว่ามีเฉพาะหนูเท่านั้นที่แพร่เชื้อได้แต่สัตว์อื่นอย่างเช่น สุกร โค กระบือ สุนัข แมวฯ แต่หนู จะไม่มีอาการแต่สามารถปล่อยเชื้อได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรืออาจจะตลอดชีวิต และมีเปอร์เซ็นเป็นพาหะนำโรคสูงที่สุดในบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เชื้อที่อาศัยอยู่ในตัวหนูจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้เชื้อปนเปื้อนอยู่ในน้ำขัง หรือผัก ปลา โดยเชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายทางรอยขีดข่วนเป็นแผล เนื้อเยื่ออ่อนบุตา จมูก ปาก หรือผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานานแม้ไม่มีบาดแผล ระยะฟักตัว 1-2 สัปดาห์ จะมีอาการเซื่องซึม เบื่ออาหาร มีไข้อ่อนๆ ตาแดง กล้ามเนื้ออักเสบ ตัวเหลือง คอแห้ง ตับวาย ไตวาย ถึงเสียชีวิตได้
การทำลายเชื้อทำได้อย่างไร?
1. ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) สูงกว่า 8.0 หรือต่ำกว่า 6.5
2. ความเค็ม เช่น น้ำทะเล
3. ที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที หรือ 70 องศาเซลเซียส 10 วินาที และแสงแดดสามารถทำลายเชื้อได้
4. ความแห้งสามารถทำลายเชื้อได้ ในพื้นดินที่แห้ง เชื้อจะตายในไม่กี่ชั่วโมง
5. น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ไอโอดีน คลอรีน และน้ำยาทำความสะอาด (Detergents) รวมทั้งสบู่สามารถฆ่าเชื้อได้
ข้อแนะนำ
1. ถ้าสงสัยว่าสัตว์เลี้ยงติดเชื่อให้นำไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจรักษา และแยกสัตว์ป่วยกับสัตว์ปกติ
2. ฉีดวัคซีนป้องกันฉี่หนูให้กับสัตว์เลี้ยงใกล้ชิด (แมวยังไม่มีวัคซีนโรคนี้)
3. หลีกเลี่ยงไม่ให้สัตว์เล่นน้ำขัง เจ้าของควรหลีกเลี่ยงสัมผัสสัตว์ป่วย
4. ทำความสะอาดบริเวณที่อยู่อาศัย และกรงสัตว์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
5. กำจัดหนูบริเวณที่อยู่อาศัย ไร่ นา หรือที่ๆ มีโอกาสแพร่เชื้อ
6. ตรวจแหล่งน้ำ ดินทรายที่อาจปนเปื้อนเชื้อ ถ้าเป็นน้ำในท่อระบาย ควรล้างระบายน้ำที่ปนเปื้อนออกไป
7. หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ แช่หรือลุยในน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อจากปัสสาวะสัตว์นำโรค หรือถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ต
8. ฉีดวัคซีนป้องกันแก่คนงานและผู้ที่ประกอบอาชีพเสี่ยงต่อโรค เป็นวิธีที่ใช้ในญี่ปุ่น จีน อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส และอิสราเอล
ภาพประกอบ/เรียบเรียง : xsci
วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557
วัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา-wat phrasisanphet
วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสำคัญที่สุดของราชสำนักอยุธยา มีฐานะเป็นวัดส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐาน จึงไม่มีพระสงฆ์จำอยู่ในวัด
พื้นที่ตั้งของวัด เดิมเป็นที่ตั้งของพระราชมณเฑียรอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระบรมไตรโลกนาถได้ทรงยกพื้นที่นี้ให้เป็นเขตพุทธาวาส เมื่อปี พ.ศ.1991 เรียกว่า วัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วย้ายบรรดาพระราชมณเฑียรเลยขึ้นไปทางทิศเหนือ ต่อจากเขตวัดไปจนจรดริมแม่น้ำลพบุรีในปัจจุบัน วัดพระศรีสรรเพชญ์ใช้ประกอบพระราชพิธีสำคัญต่างๆ เช่น พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา (ปีละ 2 ครั้ง) ตลอดจนใช้เป็นที่เก็บพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์อยุธยาเกือบทุกพระองค์ เป็นต้น
บริเวณใจกลางสุด มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่ 3 องค์ สลับระหว่างกลางแต่ละองค์ด้วยมณฑปอีก 3 หลัง ปลายทิศตะวันตกของพระเจดีย์องค์สุดท้ายมีฐานของพระวิหารจัตุรมุข โดยตรงกลางมีเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิ ส่วนมุขทั้งสี่ด้านเชื่อว่าเคยมีพระพุทธรูปนั่ง ยืน นอน และเดิน ด้านทิศตะวันออกต่อกับเจดีย์องค์แรกเป็นวิหารสำคัญที่สุด เพราะบริเวณด้านท้าย ซึ่งเรียกว่า ท้ายจระนำ ใช้เป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์องค์ต่างๆ ในวิหารเคยมีพระพุทธรูปหุ้มทองคำหนัก 286 ชั่ง (หรือหนักเท่ากับ 12,880 บาท) ประทับยืนสูงถึง 8 วา มีพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ ถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญที่สุดในสมัยอยุธยา
พระวิหารหลวงหรือวิหารพระศรีสรรเพชญ์นี้ถูกขนาบด้วยวิหารพระโลกนาถอยู่ด้านทิศเหนือ ส่วนทิศใต้เป็นวิหารพระป่าเลไลยก์ ถัดต่อทางด้านหน้าเป็นพระวิหาร(ทิศเหนือ) และพระอุโบสถ(ทิศใต้) อาคารทั้งหมดนี้ถูกล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้วยพระเจดีย์สลับกับวิหารแกลบอย่างได้สัดส่วนยิ่ง
วัดนี้ถูกเผาไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาให้พม่า ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2310 พม่าได้ปล้นสะดมทรัพย์จำนวนมาก ทั้งที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาและที่ได้มาจากการที่สยามยึดมาจากพระนครธม ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ พม่าได้เอาไฟสำรอกทองหุ้มองค์พระศรีสรรเพชญ์ คงเหลือแต่แกนในพระซึ่งทำด้วยสำริด เมื่อคราวตั้งกรุงเทพฯ นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้อัญเชิญแกนในพระศรีสรรเพชญ์ลงไปด้วย ทรงสร้างพระเจดีย์หุ้มแกนพระองค์นี้เอาไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) แล้วถวายพระนามตามท่านว่า เจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ดาญาณ
ภาพเจดีย์สามองค์เรียงซ้อนกันเช่นภาพนี้ กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงอยุธยาได้อย่างชัดเจน และเป็นที่แพร่หลายเป็นเอกลักษณ์ของเมือง ปัจจุบันวัดพระศรีสรรเพชญมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จนกล่าวได้ว่าไม่มีคณะทัวร์ไหนที่จะไม่ขาดโปรแกรมการมาชมวัดพระศรีสรรเพชญเลย เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นอดีตพระอารามในพระราชวังกรุงศรีอยุธยา และเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการได้มาเที่ยวอยุธยานักท่องเที่ยวจึงนิยมการถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก
เจดีย์ทั้งสามองค์นี้...ชาวอยุธยามักกล่าวติดปากว่า "เจดีย์สามพี่น้อง" ด้วยความไม่เข้าใจในประวัติศาสตร์ อันที่จริงแล้ว เจดีย์ทั้งสามมีฐานะเปรียบดังเครือญาติได้ดังนี้ เจดีย์องค์แรก(ด้านขวา)คือเจดีย์พระบิดา สร้างเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เจดีย์องค์กลาง คือเจดีย์โอรสองค์ใหญ่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 และองค์สุดท้ายด้านซ้าย คือเจดีย์โอรสองค์รอง สมเด็จพระรามาธิปดีที่ 2 ถ้าจะเปรียบดังเครื่องญาติแล้วก็คือ เจดีย์ พ่อ ลูกคนโต ลูกคนเล็ก จึงจะถูกต้อง
เนื้อหาจาก : ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/202/116/
บริเวณใจกลางสุด มีพระเจดีย์ขนาดใหญ่ 3 องค์ สลับระหว่างกลางแต่ละองค์ด้วยมณฑปอีก 3 หลัง ปลายทิศตะวันตกของพระเจดีย์องค์สุดท้ายมีฐานของพระวิหารจัตุรมุข โดยตรงกลางมีเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิ ส่วนมุขทั้งสี่ด้านเชื่อว่าเคยมีพระพุทธรูปนั่ง ยืน นอน และเดิน ด้านทิศตะวันออกต่อกับเจดีย์องค์แรกเป็นวิหารสำคัญที่สุด เพราะบริเวณด้านท้าย ซึ่งเรียกว่า ท้ายจระนำ ใช้เป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์องค์ต่างๆ ในวิหารเคยมีพระพุทธรูปหุ้มทองคำหนัก 286 ชั่ง (หรือหนักเท่ากับ 12,880 บาท) ประทับยืนสูงถึง 8 วา มีพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ ถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญที่สุดในสมัยอยุธยา
พระวิหารหลวงหรือวิหารพระศรีสรรเพชญ์นี้ถูกขนาบด้วยวิหารพระโลกนาถอยู่ด้านทิศเหนือ ส่วนทิศใต้เป็นวิหารพระป่าเลไลยก์ ถัดต่อทางด้านหน้าเป็นพระวิหาร(ทิศเหนือ) และพระอุโบสถ(ทิศใต้) อาคารทั้งหมดนี้ถูกล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้วยพระเจดีย์สลับกับวิหารแกลบอย่างได้สัดส่วนยิ่ง
วัดนี้ถูกเผาไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาให้พม่า ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2310 พม่าได้ปล้นสะดมทรัพย์จำนวนมาก ทั้งที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาและที่ได้มาจากการที่สยามยึดมาจากพระนครธม ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ พม่าได้เอาไฟสำรอกทองหุ้มองค์พระศรีสรรเพชญ์ คงเหลือแต่แกนในพระซึ่งทำด้วยสำริด เมื่อคราวตั้งกรุงเทพฯ นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้อัญเชิญแกนในพระศรีสรรเพชญ์ลงไปด้วย ทรงสร้างพระเจดีย์หุ้มแกนพระองค์นี้เอาไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) แล้วถวายพระนามตามท่านว่า เจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ดาญาณ
ภาพเจดีย์สามองค์เรียงซ้อนกันเช่นภาพนี้ กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงอยุธยาได้อย่างชัดเจน และเป็นที่แพร่หลายเป็นเอกลักษณ์ของเมือง ปัจจุบันวัดพระศรีสรรเพชญมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จนกล่าวได้ว่าไม่มีคณะทัวร์ไหนที่จะไม่ขาดโปรแกรมการมาชมวัดพระศรีสรรเพชญเลย เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นอดีตพระอารามในพระราชวังกรุงศรีอยุธยา และเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการได้มาเที่ยวอยุธยานักท่องเที่ยวจึงนิยมการถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก
เจดีย์ทั้งสามองค์นี้...ชาวอยุธยามักกล่าวติดปากว่า "เจดีย์สามพี่น้อง" ด้วยความไม่เข้าใจในประวัติศาสตร์ อันที่จริงแล้ว เจดีย์ทั้งสามมีฐานะเปรียบดังเครือญาติได้ดังนี้ เจดีย์องค์แรก(ด้านขวา)คือเจดีย์พระบิดา สร้างเพื่อบรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เจดีย์องค์กลาง คือเจดีย์โอรสองค์ใหญ่ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 และองค์สุดท้ายด้านซ้าย คือเจดีย์โอรสองค์รอง สมเด็จพระรามาธิปดีที่ 2 ถ้าจะเปรียบดังเครื่องญาติแล้วก็คือ เจดีย์ พ่อ ลูกคนโต ลูกคนเล็ก จึงจะถูกต้อง
เนื้อหาจาก : ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/202/116/
วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557
ลืมหัวใจไว้ที่เชียงตุง-Chiang Tung-Keng tung)
แนะนำฟัง FM เพลงเชียงตุง เพียง Copy Link นี้ไปวางใน Winamp หรือ VLC http://radio.dwebsalehost.com:8020/
นครเขมรัฐตุงคบุรี มีความเป็นชาติครบถ้วน ทั้งศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา สังคม มีประชาชนที่หวงแหนในองค์ประกอบความเป็นชาติ ไทใหญ่ ไทเขิน มีภาษาพูดที่ใกล้เคียงภาษาไทย
กว่า 80% มีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกันมาตั้งแต่โบราณ ทั้งเคยร่วมรบกันในสงคราม ประวัติศาสตร์ยังเชื่อมไทยกับไทใหญ่ไว้ร่วมกัน ไทใหญ่ เชียงตุง เชียงรุ่ง เชียงใหม่ ล้วนเป็นเครือญาติกัน ไม่ได้รู้สึกเป็นมิตรกับพม่าแต่กลับเป็นมิตรกับไทยมากกว่า ในยุคที่มีการเปิดเสรีค้าฝิ่นเมืองเชียงตุงรุ่งเรืองกว่าเมืองไหนๆ ในแถบนี้ แต่เมื่อยกเลิกค้าฝิ่นบ้านเมืองก็หยุดเจริญเติบโตและพัฒนาช้า ทำให้เมืองเชียงใหม่ เชียงรายพัฒนาก้าวหน้าล้ำกว่า ชาวไทใหญ่เรียกชื่อเมืองนี้ว่า เก็งตุ๋ง (Keng tung)ในอดีต เชียงตุงเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการค้าเชื่อมต่อระหว่างสิบสองปันนากับล้านนา โดยมีพ่อค้าชาวจีนฮ่อเดินทางไปมาค้าขายในเส้นทางนี้
เชียงตุงมีประชากรหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทขึนหรือไทเขิน มีไทใหญ่ และ พม่า ลองลงมา ยังมีชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น อาข่า ปะด่อง ว้า ลาฮู ลีซอ ลัวะ เผ่าแอน ฯลฯ รวมทั้งสิ้น 37 เผ่า เชียงตุงมีที่มาจากชื่อแม่น้ำน้ำขึน หรือฝืน มาจากแม่น้ำไหลย้อนขึ้นทางเหนือไม่เหมือนแม่น้ำทั่วไป ชาวไทลื้อที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำแห่งนี้จึงเรียกตัวเองว่าชาวไทขึน มีความสามารถโดดเด่นในการสานไม้ไผ่แบบลวดลายละเอียดมากเป็นภาชนะแล้วเคลือบด้วยยางไม้สีแดง เรียกว่าเครื่องเขิน ไทยภาคกลางจึงเรียกกลุ่มชนเหล่านี้ว่า ไทเขิน ในอีกความหมายหนึ่งด้วย หรือในภาษาล้านนาเรียกว่า ครัวฮักครัวหาง ลักษณะเด่นอีกอย่างของเมืองเชียงตุงคือมีวัดจำนวนมากหรือเรียกว่าเมืองร้อยวัด และวัดส่วนใหญ่ในเชียงตุงจะมีอายุ 600 กว่าปี มีความเก่าแก่ร่วมสมัยกับ เชียงใหม่ เชียงแสน น่าน สุโขทัย มีอายุมากกว่า อยุธยา 100-200 ปี มากกว่ารัตนโกสินทร์ 400 ปี
ในปัจจุบันเชียงตุงเป็นภาพย้อนกาลเวลาของเมืองไทยเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ที่นั่นคือภาพอดีตที่ไม่ใช่อยู่ในหน้าตำราหรือภาพถ่าย แต่เป็นภาพชีวิตจริง ความดีงามข้องน้ำจิตน้ำใจ การเข้าถึงวัดเข้าถึงธรรม คุณธรรม ศีลธรรม มีอยู่สูงมาก ในเมืองนี้มีวัดจำนวนมาก การเดินทางไปเชียงตุงในปัจจุบันสามารถเดินทางได้สะดวกโดยทางรถยนต์เริ่มต้นจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังจากจัดการเรื่องเอกสารผ่านแดน ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย หากทำบอเดอร์พาส ใช้แค่บัตรประชาชนยื่น จ่ายค่าธรรมเนียมเราก็จะได้เอกสารผ่านแดนฝั่งไทย จากนั้นเตรียมสำเนาบัตรประชาชน 1 ใบ พร้อมรูปถ่าย 1 นิ้ว เพื่อยื่นเอกสารผ่านแดนฝั่งพม่า เอกสารดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ที่ไกด์ ไกด์จะเป็นผู้ดูแล จนกว่าจะกลับ เริ่มการเดินทางจากด่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก มุ่งหน้าไปตามถนน NH4 ระยะทาง 165 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม. ด้วยรถยนต์ ถนนลาดยาง 2 เลนส์ วิ่งเลนขวา
สิ่งต้องห้ามก็คือการถ่ายภาพทหารและด่านตรวจ
ด่านที่ 1 ตรวจคือด่านบ้านแม่ยาง (สำเนียงไทขึน เรียกว่า หมากยาง)
ค่าธรรมเนียม 10 บาท พร้อมเช็คเอกสารจากไกด์
ด่านที่ 2 คือ เมืองท่าเดื่อ (สำเนียงไทขึน เรียกว่า ต้าเลอ หรือ ต้าเล)
ค่าธรรมเนียม 50 บาท พร้อมเช็คเอกสารจากไกด์
จุดที่ 3 คือ ด่านเมืองพยาก (สำเนียงไทขึน เรียกว่า เมืองเพี๊ยก หรือเมืองแพรก)
ค่าธรรมเนียม 10 บาท พร้อมเช็คเอกสารจากไกด์
ค่าอัดฉีดรถยนต์ 10 บาท
จุดที่ 4 คือ ด่านเมืองเชียงตุง 20 บาทไทย พร้อมเช็คเอกสารจากไกด์
ค่าอัดฉีดรถยนต์ 10 บาทไทย
ทุกด่านจะมีค่าตาชั่งรถยนต์ อีก 5 บาท
ต้องมีไกด์ประจำทริป
การจ้างไกด์นี่เป็นกฎหมาย (เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552) ว่านักท่องเที่ยวจะต้องมีไกด์คนพม่านำเที่ยวด้วยทุกครั้ง ทุกด่าน พร้อมค่าธรรมเนียม 1,000 บาทต่อวัน ค่าธรรมเนียมนั้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือไกด์ 600 บาท รัฐบาล 400 บาท
หน้าที่คล้ายกัน
Keng Tung 2013
ตำนานเมืองเชียงตุง
รู้จักเส้นทางเศรษฐกิจสายอาเซียน GMS Economic Corridors
หนองตุง ที่มาของชื่อเมืองเชียงตุง |
กว่า 80% มีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกันมาตั้งแต่โบราณ ทั้งเคยร่วมรบกันในสงคราม ประวัติศาสตร์ยังเชื่อมไทยกับไทใหญ่ไว้ร่วมกัน ไทใหญ่ เชียงตุง เชียงรุ่ง เชียงใหม่ ล้วนเป็นเครือญาติกัน ไม่ได้รู้สึกเป็นมิตรกับพม่าแต่กลับเป็นมิตรกับไทยมากกว่า ในยุคที่มีการเปิดเสรีค้าฝิ่นเมืองเชียงตุงรุ่งเรืองกว่าเมืองไหนๆ ในแถบนี้ แต่เมื่อยกเลิกค้าฝิ่นบ้านเมืองก็หยุดเจริญเติบโตและพัฒนาช้า ทำให้เมืองเชียงใหม่ เชียงรายพัฒนาก้าวหน้าล้ำกว่า ชาวไทใหญ่เรียกชื่อเมืองนี้ว่า เก็งตุ๋ง (Keng tung)ในอดีต เชียงตุงเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการค้าเชื่อมต่อระหว่างสิบสองปันนากับล้านนา โดยมีพ่อค้าชาวจีนฮ่อเดินทางไปมาค้าขายในเส้นทางนี้
เชียงตุงมีประชากรหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทขึนหรือไทเขิน มีไทใหญ่ และ พม่า ลองลงมา ยังมีชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น อาข่า ปะด่อง ว้า ลาฮู ลีซอ ลัวะ เผ่าแอน ฯลฯ รวมทั้งสิ้น 37 เผ่า เชียงตุงมีที่มาจากชื่อแม่น้ำน้ำขึน หรือฝืน มาจากแม่น้ำไหลย้อนขึ้นทางเหนือไม่เหมือนแม่น้ำทั่วไป ชาวไทลื้อที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำแห่งนี้จึงเรียกตัวเองว่าชาวไทขึน มีความสามารถโดดเด่นในการสานไม้ไผ่แบบลวดลายละเอียดมากเป็นภาชนะแล้วเคลือบด้วยยางไม้สีแดง เรียกว่าเครื่องเขิน ไทยภาคกลางจึงเรียกกลุ่มชนเหล่านี้ว่า ไทเขิน ในอีกความหมายหนึ่งด้วย หรือในภาษาล้านนาเรียกว่า ครัวฮักครัวหาง ลักษณะเด่นอีกอย่างของเมืองเชียงตุงคือมีวัดจำนวนมากหรือเรียกว่าเมืองร้อยวัด และวัดส่วนใหญ่ในเชียงตุงจะมีอายุ 600 กว่าปี มีความเก่าแก่ร่วมสมัยกับ เชียงใหม่ เชียงแสน น่าน สุโขทัย มีอายุมากกว่า อยุธยา 100-200 ปี มากกว่ารัตนโกสินทร์ 400 ปี
ในปัจจุบันเชียงตุงเป็นภาพย้อนกาลเวลาของเมืองไทยเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ที่นั่นคือภาพอดีตที่ไม่ใช่อยู่ในหน้าตำราหรือภาพถ่าย แต่เป็นภาพชีวิตจริง ความดีงามข้องน้ำจิตน้ำใจ การเข้าถึงวัดเข้าถึงธรรม คุณธรรม ศีลธรรม มีอยู่สูงมาก ในเมืองนี้มีวัดจำนวนมาก การเดินทางไปเชียงตุงในปัจจุบันสามารถเดินทางได้สะดวกโดยทางรถยนต์เริ่มต้นจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย หลังจากจัดการเรื่องเอกสารผ่านแดน ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย หากทำบอเดอร์พาส ใช้แค่บัตรประชาชนยื่น จ่ายค่าธรรมเนียมเราก็จะได้เอกสารผ่านแดนฝั่งไทย จากนั้นเตรียมสำเนาบัตรประชาชน 1 ใบ พร้อมรูปถ่าย 1 นิ้ว เพื่อยื่นเอกสารผ่านแดนฝั่งพม่า เอกสารดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ที่ไกด์ ไกด์จะเป็นผู้ดูแล จนกว่าจะกลับ เริ่มการเดินทางจากด่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก มุ่งหน้าไปตามถนน NH4 ระยะทาง 165 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม. ด้วยรถยนต์ ถนนลาดยาง 2 เลนส์ วิ่งเลนขวา
สิ่งต้องห้ามก็คือการถ่ายภาพทหารและด่านตรวจ
ด่านที่ 1 ตรวจคือด่านบ้านแม่ยาง (สำเนียงไทขึน เรียกว่า หมากยาง)
ค่าธรรมเนียม 10 บาท พร้อมเช็คเอกสารจากไกด์
ด่านที่ 2 คือ เมืองท่าเดื่อ (สำเนียงไทขึน เรียกว่า ต้าเลอ หรือ ต้าเล)
ค่าธรรมเนียม 50 บาท พร้อมเช็คเอกสารจากไกด์
จุดที่ 3 คือ ด่านเมืองพยาก (สำเนียงไทขึน เรียกว่า เมืองเพี๊ยก หรือเมืองแพรก)
ค่าธรรมเนียม 10 บาท พร้อมเช็คเอกสารจากไกด์
ค่าอัดฉีดรถยนต์ 10 บาท
จุดที่ 4 คือ ด่านเมืองเชียงตุง 20 บาทไทย พร้อมเช็คเอกสารจากไกด์
ค่าอัดฉีดรถยนต์ 10 บาทไทย
ทุกด่านจะมีค่าตาชั่งรถยนต์ อีก 5 บาท
ต้องมีไกด์ประจำทริป
การจ้างไกด์นี่เป็นกฎหมาย (เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552) ว่านักท่องเที่ยวจะต้องมีไกด์คนพม่านำเที่ยวด้วยทุกครั้ง ทุกด่าน พร้อมค่าธรรมเนียม 1,000 บาทต่อวัน ค่าธรรมเนียมนั้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือไกด์ 600 บาท รัฐบาล 400 บาท
หน้าที่คล้ายกัน
Keng Tung 2013
ตำนานเมืองเชียงตุง
รู้จักเส้นทางเศรษฐกิจสายอาเซียน GMS Economic Corridors
วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557
ภูกระดึง ภูรูปหัวใจในเดือนแห่งความรัก
1. จุดเริ่มต้นและบทพิสูจน์
เป็นก้าวแรกของการเดินทางชมธรรมชาติ เป็นระยะทางที่ต้องเดินพิสูจน์ความอดทน เป็นครั้งแรกที่จะตัดสินว่ารักภูแห่งนี้และไม่มีวันเบื่อที่จะมาอีกครั้ง หรือจะไม่กลับมาอีกเลย แต่สำหรับผมไม่มีคำว่าเบื่อที่จะกลับมาอีกครั้ง ครั้งเล่าที่มาเยือน หลายคนก็หลงรักภูแห่งนี้เช่นเดียวกับผม ภูรูปหัวใจแห่งนี้ คือหัวใจขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีเสนห์ตราตรึงจนไม่อาจจะลืมได้เลย
ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมผมถึงยังอยากไปซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่มีภาพติดตาในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น บรรยากาศที่พิเศษไม่เหมือนพื้นดินเบื้องล่างมีพรรณแมกไม้แปลกตา อากาศเย็นสบาย มีทรายละเอียดเหมือนชายหาด มีทะเลหมอก มีตะวันตกดินที่สวยตราตรึง มีสัตว์ป่า มีต้นไม้ชนิดเดียวกับแถบยุโรป มีน้ำตกหลายแห่ง เป็นต้นลำน้ำพอง มีความเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบเฉียบพลันหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน จากปกติเข้าสู่หนาวจนไม่กล้าอาบน้ำ ทั้งๆ ที่ตอนกลางวันอยากอาบน้ำมาก
ธรณีสัณฐาน และลักษณะเส้นทางเดินขึ้นภูกระดึง |
พื้นที่ 217,576.25 ไร่ (348.12 ตร.กม.)
สถาปนา 23 พฤศจิกายน 250
มีความสูงอยู่ระหว่าง 400-1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ผานกเค้าเมื่อถึงที่นี่...ก็คือสัญญลักษณ์ที่บอกว่าถึงเขตภูกระดึงแล้ว อย่าลืมแวะไปซื้อมะพร้าวแก้วเลิศรสร้านเจ๊กิม |
ความพร้อมเป็นสิ่งสำคัญในการเดินทางครั้งนี้
ด้านสุขภาพ ควรต้องมีการฟิตซ้อมร่างกายเพื่อให้กล้ามเนื้อรับได้กับการเดินระยะทางไกลประมาณ 40 กิโลเมตร ในเวลา 2 วันได้ เพราะฉะนั้นควรออกกำลังกายโดยการวิ่ง ด้านการเตรียมยา คลายกล้ามเนื้อ นีโอฟีแน็ค ยาแก้ปวดเส้นเอ็น ยาพารา ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ท้องอืดท้อเฟ้อ การเดินขึ้นภูต้องใช้เวลา 4 - 8 ชั่วโมง แล้วแต่ความฟิตหรือบางคนเสพบรรยากาศข้างทางจนเพลินก็จะถึงช้าหน่อย แต่การเดินระยะไกลขนาดนี้วิธีที่ดีที่สุดคือการถนอมตัวเองไม่ให้บาดเจ็บไปเสียก่อนรวมถึงการประหยัดพลังเผื่อวันเดินกลับด้วยครับ
ระหว่างทาง นับตั้งแต่เริ่มก้าวผ่านประตูอุทยานเข้าสู่ภูกระดึงจุดแรกสุดเป็นเส้นทางวัดใจซึ่งเป็นเนินชัน 800 เมตร ชื่อว่า ซำแฮก ซึ่งก็แฮกจริงอย่างชื่อเรียกเมื่อขึ้นถึงซำนี้แล้วอาจต้องถามตัวเองซ้ำว่าเราจะไปต่อจริงหรือ หรือว่าจะกลับดี ซำนี้เป็นซ้ำแรกที่มีจุดขายของกิน ทั้งส้มตำ ข้าวปลา น้ำดื่มเย็น น้ำเกลือแร่ยี่ห้อต่างๆ ของใช้ให้บริการรวมถึงห้องน้ำเป็นการชาร์ตพลัง เดินชมบริเวณจุดชมวิวเห็นวิวตัวเมืองไกล ๆ ถ่ายรูปคู่กับป้าย ดูป้ายซ้ำถัดไปจากนั้นก็เดินทางต่อสู่ บทถัดไปซึ่งไม่ชันมากนัก
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557
พลเอกกิตติ รัตนฉายา ถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
...พลเอกกิตติ รัตนฉายา ( Kitti Ratanachaya ) อดีตแม่ทัพภาค 4 เจ้าของนโยบายใต้ร่มเย็นผู้สงบศึกภาคใต้มาแล้ว ส่งสารร่ายยาวถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
...ถ้า ผมเป็น ประยุทธ์ จันทร์โอชา
.....ในสถานการณ์ ปัจจุบันนี้ ซึ่งประชาชนทุกคนรับรู้ว่า เกิดอะไรขึ้น มีกองกำลังก่อการร้าย ที่หลายๆคนก็รู้ว่า เป็นฝ่ายใครพวกไหน ใช้กำลังใช้อาวุธสงคราม มายิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ ยิงเด็กตาย ขว้างปาระเบิดอย่างกับ เป็นแดนมิคสัญยี
...ในสถานการณ์ ซึ่งกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้บังคับใช้กฎหมาย อย่างตำรวจ ไม่ทำงาน และเอนเอียงแบ่งข้างโดยชัดเจนมาก เห็นง่ายๆจากกรณีที่ หลักฐานของคนปาระเบิด ที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เห็นภาพชัด มือยิงสุทินที่วัดศรีเอี่ยม เห็นชัด แต่ไม่เคยจับได้ แต่คนยิงขวัญชัย ไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผม กลับจับกุมได้ในเวลารวดเร็ว
เวลาชีวิตเดินช้าลง...ที่เกาะพยาม จ. ระนอง
“คอคอดกระ ภูเขาหญ้า กาหยูหวาน ธารน้ำแร่ มุกแท้เมืองระนอง” หลายคนตามแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละจังหวัดจากคำขวัญประจำจังหวัดเพราะสิ่งที่ถูกยกมาเป็นคำขวัญได้ต้องมีความพิเศษเฉพาะตัว
หลังจากอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนจากธรรมชาติพรรั้งแล้ว เราก็อยากเติมเต็มด้วยการเที่ยวทะเลหาดทรายละเอียดสวยน้ำใสกันต่อ แต่ทะเลที่ไหนจะสวยพอที่จะหยุดเวลาชีวิตให้ช้าลง หลบลี้พาชีวิตสู่ธรรมชาติสันโดษสงบ ที่ไหนจะตอบโจทย์ได้ทั้งหมดถ้าตอนนี้อยู่ที่ตัวเมืองระนอง “เกาะพยาม” เกาะแห่งนี้กระซิบบอกเบาๆ ให้ไปพิสูจน์ว่าที่นี่แหละพร้อมจะมอบสิ่งที่คุณต้องการ
ระนองมีเกาะขนาดใหญ่คือเกาะช้าง และห่างมาทางใต้ 4 กิโลเมตร มีเกาะรองลงมาก็คือ เกาะพยาม นับระยะทางจากท่าเรือ 30 กิโลเมตร ที่นี่ยังคงความสวยงามแบบธรรมชาติดั้งเดิม ความเจริญมาบุกรุกน้อยยังมีความเป็นป่า มีสัตว์ป่าเช่น นก ลิง หมูป่า มีอ่าวหลัก ๆ คือ อ่าวไผ่ อ่าวแม่หม้าย อ่าวใหญ่ อ่าวเขาควาย อ่าวกวางปีบ แต่ถึงแม้ว่าที่นี่ยังไม่ค่อยเจริญแต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งอินเตอร์เน็ต 3G, Wifi ให้บริการสำหรับคนที่อยากอัพภาพสวย ๆ สู่โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือเช็คอินให้เพื่อนๆ อิจฉาว่ากำลังอยู่มัลดีฟเมืองไทย ยามค่ำคืนยังมีสิ่งบันเทิงเริงใจให้บริการแถบชายหาดอ่าวใหญ่เป็นเครื่องดื่มหลายๆ แบบตามแต่จะเร้าอารมณ์แบบไหน
ที่พักบนเกาะพยามมีพร้อมต้นรับนักท่องเที่ยวในหลายระดับราคาเริ่มต้น 200-600 ถ้าติดทะเลก็ขยับขึ้นมาที่ 800-1,500 และแบบหรูก็ 8,000 มีทั้งแบบติดแอร์และแอร์ธรรมชาติ นี่เป็นอีกอย่างที่บ่งชี้ให้เห็นว่าความเจริญยังเข้ามาไม่มากยังมีความสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนแบบไม่วุ่นวาย จึงเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการความสงบเป็นส่วนตัว การเดินทางบนเกาะมีรถมอเตอร์ไซด์และจักรยานให้เช่า มีมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้บริการ บนถนนคอนกรีต แต่ไม่มีรถยนต์มีเพียงรถอีแต๊กขนส่ง
การเดินทางไปเกาะ จากท่าเรือเกาะพยาม เริ่มต้นที่ ท่าเรือเทศบาลตำบลปากน้ำ จ. ระนอง ที่ช่วงเช้าคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีเรือให้เลือกใช้บริการกัน 2 แบบ 2 ราคา แบบช้าหวานเย็น หรือแบบเร็วทันใจ
Speed Boat ให้บริการในเวลา 9.00 น. และ 13.00 น. ราคา 350 บาท ต่อคน ใช้เวลาเดินทาง 30-45 นาที มีความคล่องตัวสูงวิ่งด้วยความเร็วปรี๊ด
Slow Boat เรือประมงดัดแปลง ให้บริการเที่ยวแรก 10.00 น หรือ 11.30 น. ต้องดูสภาพน้ำขึ้นน้ำลง ถ้าน้ำลงเรือจะออกช้ากว่าปกติเพราะออกจากท่าไม่ได้ ค่าบริการ 250 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง ถ้าไม่เร่งรีบอยากดื่มด่ำกับทะเลและการเดินทางหลับไปบ้างตื่นมาดูความงามของทะเลบ้าง แต่ทั้งสองแบบแนะนำให้ไปถึงท่าเรืออย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
ที่พักบนเกาะพยามมีพร้อมต้นรับนักท่องเที่ยวในหลายระดับราคาเริ่มต้น 200 - 600 ถ้าติดทะเลก็ขยับขึ้นมาที่ 800-1,500 และแบบหรูก็ 8,000 มีทั้งแบบติดแอร์และแอร์ธรรมชาติ
นี่เป็นอีกอย่างที่บ่งชี้ให้เห็นว่าความเจริญยังเข้ามาไม่มากยังมีความสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนแบบไม่วุ่นวาย จึงเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการความสงบเป็นส่วนตัว การเดินทางบนเกาะมีรถมอเตอร์ไซด์และจักรยานให้เช่า มีมอเตอร์ไซด์รับจ้างให้บริการ บนถนนคอนกรีต แต่ไม่มีรถยนต์มีเพียงรถอีแต๊กขนส่ง ที่นี่ไม่ได้มีจุดท่องเที่ยวหลากหลายจนเหลือเฟือ แต่มีพองามให้เราจดจ่อดื่มด่ำ เปรียบความงามดั่งสาววัยสดใสเดียงสาบริสุทธิ์หน้าตาดีแบบโดยธรรมชาติ ปราศจากเครื่องสำอางค์แต่งแต้ม
ภาพและบทความโดย xsci
ท่าเรือเกาะพยาม สปีดโบ๊ทเริ่มเดินทางเที่ยวแรก 9.50 น. เที่ยวสุดท้าย 1.00 น. ขากลับเที่ยวสุดท้ายหมด 17.00 น. |
ท่าเรือที่ยังติดโคลนเกยตื้นเพราะน้ำลง ถ้าน้ำลงแบบนี้ประมาณ 11.30 น. ถึง 12.00 น. น้ำถึงมากพอที่เรือจะออกได้ |
วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง จ.ระนอง, Porn Rung Hot Spring Ranong Thailand
หลาย ๆ ครั้งที่สื่อต่าง ๆ ผ่านตาเรื่องการอาบน้ําแร่ออนเซ็นของญี่ปุ่น มันจุดประกายความคิดความต้องการอยากสัมผัส ดื่มด่ำ กับการเปลือยกายนอนแช่น้ำแร่ มีน้ำแร่ไหลผ่านท่อไม้ไผ่โชยอ่อนไปด้วยไอน้ำจากน้ำร้อนที่แทรกตัวมาใต้ผืนดินลึกหลายกิโลเมตร แต่ทว่านั่นเป็นสิ่งที่ไกลเกินไปสำหรับการพักผ่อนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีเวลาไม่มากนัก แต่เราอาจไม่รู้ว่าเมืองไทยก็มีบ่อน้ำแร่ร้อนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและดีที่สุดต่อการนอนแช่แห่งหนึ่งของโลกเพราะน้ำใสสะอาด ไม่มีกลิ่นกำมะถัน ก๊าซไข่เน่า หรือคราบขาวของแคลไซต์ มีส่วนผสมของแร่ธาตุในระดับที่พอดี บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง 13 ตาน้ำร้อนจากใต้พิภพ จ.ระนอง ห่างจากตัวเมืองระนองเพียง 10 กิโลเมตร ที่นี่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการอาบน้ำแร่ได้เป็นอย่างดี มาแล้วมีเมนูไข่ต้มน้ำแร่เป็นของแถมมีรสชาติพิเศษจากการต้มน้ำแร่นาน 18 ชั่วโมงรับความร้อนตรง ๆ จากตาน้ำร้อน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบ้านพักริมธารน้ำแร่ สำหรับผู้ที่อยากดื่มด่ำในธรรมชาติแช่น้ำแร่จนปริ่มเปรมเต็มที่ก็สามารถใช้บริการได้แนะนำว่าควรจองล่วงหน้าเพราะเป็นที่นิยมไม่น้อยเลยทีเดียว
ระนองเมืองฝนแปดแดดสี่เมืองเล็กๆ ที่ไม่ธรรมดา เส้นทางเพชรเกษม ตัดผ่านเทือกเขาสลับซับซ้อน เดินทางผ่านถนนเส้นนี้ทำให้นึกถึงเส้นทางในแถบภาคเหนือในด้านโค้งและภูเขา ระนองเป็นทั้งเมืองหน้าด่านมีเขตติดต่อกับพม่า คอคอดกระแผ่นดินที่แคบสุดระหว่างสองทะเลของด้ามขวาน ติดทะเลอันดามันที่เลื่องชื่อทะเลน้ำใสหาดสวย อุดมไปด้วยสินแร่ดีบุกจนเป็นที่มาของชื่อเมือง "แร่นอง" ปัจจุบันเพี้ยนมาเป็น "ระนอง"-เดินทางจากกรุงเทพก็สบาย ๆ ด้วยรถทัวร์วิ่งตรงรวดเดียวถึงระนองด้วย สมบัติทัวร์มิตรแท้เพื่อนเดินทาง รถปรับอากาศพิเศษ(พ) กรุงเทพฯ - ระนอง หรือเรียกว่า Super Class เรียกได้ว่ามาระนองได้ครบทุกรสชาติไม่ว่าจะเป็นเกาะพยามงามตา ทะเล ภูเขา น้ำตก ทุ่งภูเขาหญ้า สปาน้ำแร่ร้อน อากาศบริสุทธิ์จากป่าดิบชื้นที่ไม่เคยร่วงโรยผลัดใบแห่งเหี่ยว ผู้คนน้ำใจงาม รวมทั้งได้ดื่มด่ำฉ่ำใจกับอาหารทะเลสด ๆ จากทะเลอันดามันได้อย่างเต็มรสชาติ
แผนที่บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง จ.ระนอง
http://goo.gl/maps/5Ai6b
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
ลักษณะบ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง
ประกอบไปด้วยบ่อน้ำร้อนธรรมชาติและบ่อปูนซีเมนต์ บ่อน้ำร้อนธรรมชาติโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 เมตร ประมาณ 5 บ่อและสายน้ำแร่ร้อนที่น้ำร้อนจะไหลซึมออกมาจากผิวดิน และกระจายเป็นแอ่งมีตาน้ำมากถึง 13 ตาน้ำ ที่ซึมขึ้นมาตามารอยแตกของหิน ทั้งจากหินแกรนิต หินภูเขาไฟจำพวกดิไซด์ และหินทัฟฟ์ และสายแร่ควอรตซ์ อุณหภูมิน้ำร้อน โดยเฉลี่ยประมาณ 35-40 องศาเซลเซียส
Compose hot nature spring, and cement pond, hot nature pring generally have alittle diameter size more 1 the mate, atout 5 a pond, and mineral hot stream that the hot water will flow to seep come out from the underlying ground, and pread a basin, there are many springs arrive at 13 the spring, at seep upward trail broken of a stone, both of from granite stone, vocano kind young bamboo fish trap stone, and a stone, and late litter mineral, hot water temperature on the average about 35-40 the degree celsius.
ข้อห้ามในการแช่น้ำร้อน Hot Spring Caution
1. ห้ามใช้สบู่หรือแชมพูในบ่อแช่น้ำร้อน
Don't use the soap and shampoo in the pool.
2. ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มมารับประทานในบ่อแช่น้ำร้อน
Don't take the food and beverage in the pool.
3. ห้ามดำน้ำโดยเด็ดขาด (อาจทำให้เป็นลมได้)
Don't diving
4. ห้ามเด็ก และผู้สูงอายุแช่น้ำร้อนโดยปราศจากผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่คอยดูแล
The child or the old Don't use the pool alone.
5. ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในบริเวณพื้นที่ให้บริการน้ำแร่ร้อน
Don't bring pet in hot spring area.
ข้อควรปฏิบัติในการเข้าไปใช้บริการ อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อน
-สวมกางเกงขาสั้น-เสื้อยืด
-ให้ชำระร่างกาย-อาบน้ำจืด ฝักบัว ก่อนลงในบ่อ
-ห้ามใส่ผ้าถุงหรือกระโจมอกลงในบ่อ
-ห้ามใส่กางเกงขายาวลงในบ่อ
-ห้ามสูบบุหรี่ขณะลงบ่อ
-ห้ามถลกหรือพับขากางเกงลงแช่ในบ่อแช่ทั้งตัว
-ห้ามนำอาหาร-เครื่องดื่มรับประทานบริเวณบ่อแช่
ระนองเมืองฝนแปดแดดสี่เมืองเล็กๆ ที่ไม่ธรรมดา เส้นทางเพชรเกษม ตัดผ่านเทือกเขาสลับซับซ้อน เดินทางผ่านถนนเส้นนี้ทำให้นึกถึงเส้นทางในแถบภาคเหนือในด้านโค้งและภูเขา ระนองเป็นทั้งเมืองหน้าด่านมีเขตติดต่อกับพม่า คอคอดกระแผ่นดินที่แคบสุดระหว่างสองทะเลของด้ามขวาน ติดทะเลอันดามันที่เลื่องชื่อทะเลน้ำใสหาดสวย อุดมไปด้วยสินแร่ดีบุกจนเป็นที่มาของชื่อเมือง "แร่นอง" ปัจจุบันเพี้ยนมาเป็น "ระนอง"-เดินทางจากกรุงเทพก็สบาย ๆ ด้วยรถทัวร์วิ่งตรงรวดเดียวถึงระนองด้วย สมบัติทัวร์มิตรแท้เพื่อนเดินทาง รถปรับอากาศพิเศษ(พ) กรุงเทพฯ - ระนอง หรือเรียกว่า Super Class เรียกได้ว่ามาระนองได้ครบทุกรสชาติไม่ว่าจะเป็นเกาะพยามงามตา ทะเล ภูเขา น้ำตก ทุ่งภูเขาหญ้า สปาน้ำแร่ร้อน อากาศบริสุทธิ์จากป่าดิบชื้นที่ไม่เคยร่วงโรยผลัดใบแห่งเหี่ยว ผู้คนน้ำใจงาม รวมทั้งได้ดื่มด่ำฉ่ำใจกับอาหารทะเลสด ๆ จากทะเลอันดามันได้อย่างเต็มรสชาติ
แผนที่บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง จ.ระนอง
http://goo.gl/maps/5Ai6b
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
ลักษณะบ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง
ประกอบไปด้วยบ่อน้ำร้อนธรรมชาติและบ่อปูนซีเมนต์ บ่อน้ำร้อนธรรมชาติโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 1 เมตร ประมาณ 5 บ่อและสายน้ำแร่ร้อนที่น้ำร้อนจะไหลซึมออกมาจากผิวดิน และกระจายเป็นแอ่งมีตาน้ำมากถึง 13 ตาน้ำ ที่ซึมขึ้นมาตามารอยแตกของหิน ทั้งจากหินแกรนิต หินภูเขาไฟจำพวกดิไซด์ และหินทัฟฟ์ และสายแร่ควอรตซ์ อุณหภูมิน้ำร้อน โดยเฉลี่ยประมาณ 35-40 องศาเซลเซียส
Compose hot nature spring, and cement pond, hot nature pring generally have alittle diameter size more 1 the mate, atout 5 a pond, and mineral hot stream that the hot water will flow to seep come out from the underlying ground, and pread a basin, there are many springs arrive at 13 the spring, at seep upward trail broken of a stone, both of from granite stone, vocano kind young bamboo fish trap stone, and a stone, and late litter mineral, hot water temperature on the average about 35-40 the degree celsius.
ข้อห้ามในการแช่น้ำร้อน Hot Spring Caution
1. ห้ามใช้สบู่หรือแชมพูในบ่อแช่น้ำร้อน
Don't use the soap and shampoo in the pool.
2. ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มมารับประทานในบ่อแช่น้ำร้อน
Don't take the food and beverage in the pool.
3. ห้ามดำน้ำโดยเด็ดขาด (อาจทำให้เป็นลมได้)
Don't diving
4. ห้ามเด็ก และผู้สูงอายุแช่น้ำร้อนโดยปราศจากผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่คอยดูแล
The child or the old Don't use the pool alone.
5. ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในบริเวณพื้นที่ให้บริการน้ำแร่ร้อน
Don't bring pet in hot spring area.
ข้อควรปฏิบัติในการเข้าไปใช้บริการ อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อน
-สวมกางเกงขาสั้น-เสื้อยืด
-ให้ชำระร่างกาย-อาบน้ำจืด ฝักบัว ก่อนลงในบ่อ
-ห้ามใส่ผ้าถุงหรือกระโจมอกลงในบ่อ
-ห้ามใส่กางเกงขายาวลงในบ่อ
-ห้ามสูบบุหรี่ขณะลงบ่อ
-ห้ามถลกหรือพับขากางเกงลงแช่ในบ่อแช่ทั้งตัว
-ห้ามนำอาหาร-เครื่องดื่มรับประทานบริเวณบ่อแช่
โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บ่อน้ำแร่ร้อนพรรั้ง
จองบ้านพักล่วงหน้าโทร: 077-862103, 089-2889153
ภาพและบทความโดย xsci
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ปฏิรูปการศึกษา ยกเครื่องทางปัญญา อ.ประเวศ วะสี
จากหนังสือ ปฏิรูปการศึกษา ยกเครื่องทางปัญญา ทางรอดจากความหายนะ
ผู้เขียน ศร.ดร.ประเวศ วะสี
จัดพิมพ์โดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
ISBN ๙๗๔-๗๖๖๗-๗๘-๙
พิมพ์ครั้งที่ ๑ : กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พิมพ์ครั้งที่ ๒ : เมษายน ๒๕๕๑
ตอนที่ 1 อารัมภกถา
*************************
การศึกษาที่ดีแก้ปัญหาได้ทุกอย่างการศึกษาที่ดีทำให้เกิดสิ่งที่ดีงามอะไรก็ได้ เพราะสมองของมนุษย์มีศักยภาพสูงสุด การศึกษาที่ดีสามารถขจัดทุกข์เข็ญของแผ่นดินได้ เราเข้าใจการศึกษาเพียงว่า คือการท่องหนังสือ ซึ่งไม่มีน้ำยา จึงไม่ศรัทธาในการศึกษาว่าจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ เราทำการศึกษาให้เป็นความทุกข์ ความยากลำบาก และผลิตคนที่ด้อยคุณภาพ ความด้อยคุณภาพนำไปสู่ความทุกข์และวิกฤติ แท้ที่จริงการศึกษาไม่ใช่เรื่องยาก ทำให้สนุก ทำให้มีความสุข และสร้างสรรค์คุณภาพคนอย่างใดก็ได้ ถ้าเราจะปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้เสียใหม่ การศึกษาที่ดีสามารถขจัดความยากจน สร้างทักษะชีวิต ทำให้ครอบครัวเป็นปึกแผ่น ชุมชนเข้มแข็งอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรม อนุรักษ์และเพิ่มพูนสิ่งแวดล้อม ทำให้การเมืองถูกต้อง สร้างอิสระภาพและความสุข ทำให้เกิดบุคคลเรียนรู้และสังคมเรียนรู้
ครูคือเมล็ดพันธุ์แห่งความดี
ครูคือเมล็ดพันธุ์แห่งความดี เมื่อตกอยู่ ณ ที่ใด ความดีย่อมงอกงามขึ้นโดยรอบ
ครูคือกัลลยาณมิตร การได้พบกัลยาณมิตรเป็นมงคลสูงสุด ความปรารถนาสูงสุดของพ่อแม่ คือการที่ลูกได้พบครูที่ดี ในขณะที่ครูจำนวนมากเป็นคนดี แต่สังคมและระบบไม่สนับสนุนครูดี การปฏิรูปการศึกษา ต้องปฏิรูประบบให้ส่งเสริมครู เพื่อให้ครูเป็นกัลยาณมิตรของแผ่นดิน
การร่วมแสดงความคิดเห็นของคนทั้งแผ่นดิน
การปฏิรูปการศึกษาเป็นกระบวนการทางการเมือง กระบวนการทางการเมืองคือการมีส่วนร่วมของประชาชนทั้งประเทศ การที่คนทั้งประเทศร่วมกันออกความคิดเห็นว่าการศึกษามีปัญหาอย่างใด และควรแก้ไขอย่างไรจะยังให้เกิดพลังทางปัญญา และพลังทางสังคมที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษา
ขอให้ช่วยกันถามและช่วยกันตอบว่า การศึกษามีปัญหาอย่างไร ควรแก้ไขอย่างไร
ตั้งสภาปฏิรูปการศึกษา
วิกฤษทางเศรษกิจและสังคมของประเทศเกิดจากวิกฤติการณ์ทางปัญญาของชาติหากสังคมไทยยังอ่อนแอทางปัญญา จากวิกฤตจะคืบไปสู่หายนะ วิกฤตทางปัญญาเป็นปัญหาเชิงวัฒนธรรมและโครงสร้างอันถักทอหมักหมมยากต่อการเข้าใจและสางให้ออก การแก้ไขตกแต่งเล็ก ๆ น้อยๆ แก้ไขไม่ได้สัมคมไทยต้องการยกเครื่องทางปัญญา การปฏิรูปการศึกษาในที่นี้หมายถึง การยกเครื่องทางปัญญา การยกเครื่องทางปัญญาใช่ว่าใครคนใดคนหนึ่งหรือองค์กรใดหนี่ง แม้ฝ่ายการเมืองจะทำได้สำเร็จ แต่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวทางปัญญาของสังคมทั้งมวล สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นกลไกที่เคลื่อนพลังทางสัมคม เพื่อแก้ปัญหาที่ใหญ่และยาก ฉันใด สภาปฏิรูปการศึกษา ก็รวรเป็นกลไกที่คนไทยทั้งมวลร่วมใจกันยกเครื่องทางปัญญา ฉันนั้น
พรรคการเมืองใดที่เห็นว่าควรมีการปฏิรูปการศึกษา สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเสนอ พ.ร.บ. ตั้งสภาปฏิรูปการศึกษา
ตอนที่ 2 ปัญหาของการศึกษาไทย
*************************
ปัญหาการศึกษาไทยในภาพใหญ่คือ การไม่สามารถเตรียมคนไทยให้สามารถเผชิญกับยุคสมัยแห่งการเปลียนแปลง ทำให้สังคมไทยอ่อนแอ ขัดแย้ง ทำลายตัวเอง และวิกฤต
สังคมไทยในยุคสมัยแห่งการเปลียนแปลงและสภาพวิกฤต
สังคมไทยในอดีตมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เริ่มเปลี่ยนแปลงเร็ว และเร็วยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จากสังคมหมู่บ้านกลายเป็นสังคมใหญ่ที่เชื่อมโยงกับโลกอย่างสลับซับซ้อนทั้งทางเศรษฐกิจ การเงิน ข้อมูลข่าวสาร วัฒนธรรม และการเมือง มีการเปลียนแปลงอย่างพยากรณ์ไม่ได้ เช่น การพังทลายของระบบเศรษฐกิจการเงินของไทย ซึ่งกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในปัจจุบัน
สังคมไทยกำลังเผชิญกับสภาวการณ์ใหม่ ๆ และปัญหาใหม่ ๆ ที่เรายังไม่คุ้นเคยมาก่อน
การเผชิญสภาวการณ์ใหม่และปัญหาใหม่ ด้วยทรรศนะเก่า จิตสำนึกเก่า และทักษะเก่า ไม่สามารถทำให้สังคมไทยผนึกตัวเองไว้ในดุลยภาพได้ ยึงกำลังแตกสลาย เช่น การพังทลายของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การพลังทลายของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การพลังทลายของชีวิตครอบครัว การพลังทลายของชีวิตชุมชน และวัฒนธรรมไทย การอพยพหลบภัยทางเศรษฐกิจ การเอาผู้หญิงและเด็กมาเป็นโสภพณีเป็นแสน ๆ คน ปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม และความรุนแรง วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังมองไม่เห็นทางออก ฯลฯ เหล่านี้คือสภาพวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทย เป็นดังนี้เพราะ
สังคมไทยมีความอ่อนแอภายใน แล้วไปเชื่อมกับกระแสโลกซึ่่งหมุนเร็วและรุนแรง
ความอ่อนแอภายในของสังคมไทยเกิดจากสิ่งที่ใหญ่มาก เสมือนถูกทับด้วยภูเขา หรือถูกครอบงำหรือครอบด้วยโครงสร้างที่ทำให้ไม่เกิดความสว่างทางปัญญา โครงสร้างมหึมาที่มาครอบสังคมไทยไม่ให้เกิดปัญญาได้แก่
1. โครงสร้างทางสังคม ที่เป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจ (ข้างบน) กับผู้ไม่มีอำนาจ (ข้างล่าง) ในลักษณะที่ข้างบนเอาเปรียบข้างล่างและทำให้ฐานล่างอ่อนแอ โครงสร้างอะไรที่ฐานล่างอ่อนแอย่อมทรุดพลังทลายลง
2. โครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์ มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาน้อย แต่มีคอรัปชั่นมาก
3. ความเคยชินจากสิ่งแวดล้อมในอดีต ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน มีทรัพยากรธรรมชาติมากพลเมืองน้อย ภยันอันตรายจากธรรมชาติน้อย ทำให้ประมาท ไม่กระตือรือร้นในการเรียนรู้ ในการสรรค์สร้าง ในความร่วมมือ บัดนี้สิ่งแวดล้อมเปลียนไปแล้ว แต่นิสัยเดิมยังอยู่ นิสัยเดิมไม่เข้ากับภาวะการณ์ใหม่ และปัญหาใหม่
4. ทิฐิและทิศทางในการพัฒนา สังคมไทยรับเอาทิฐิวัตถุนิยมมาเป็นทิศทางในการพัฒนา ทำให้โลภะ โมหะ โทสะ อันเป็นอกุศลมูลเล่นสูงขึ้นแทนที่จะเป็ยปัญญาหรืออุศลมูล
ทั้งหมดเชื่อมโยงกันเป็นโครงสร้างอันใหญ่ หนักหนาสาหัสสากรรจ์ ที่ครอบสังคมไทยไว้ไม่ให้มีสติปัญญาเพียงพอ จึงยังคงใช้ทรรศนะเก่า จิตสำนึกเก่า และทักษะเก่า ในสถานการณ์ใหม่
คนไทยยังคงเห็นแคบ ๆ ใกล้ ๆ เช่นเห็นแก่ตัว เห็นแค่พรรค เห็นแก่พวก ขาดจิตสาธารณะ (Public Mind) จึงคดโกงกันง่าย ไม่รับผิดชอบ หลบหลีกเอาตัวรอดแบบศรีธนชัย ลักษณะอย่างนี้เมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เศรษกิจการเงิน ย่อมนำไปสู่สภาวะวิกฤติอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
ในวัฒนธรรมอำนาจมีการเรียนรู้น้อย คนมีอำนาจก็ใช้อำนาจสั่งไปเลยโดยไม่ต้องใช้ความรู้ คนไม่มีอำนาจก็รับทำตามคำสั่งโดยไม่ต้องเรียนรู้ สังคมอำนาจนิยมมีการเรียนรู้น้อย เมื่อมีการเรียนรู้น้อยก็ไม่เกิดปัญญาพอ เมื่อปัญญาไม่พอก็แก้ปัญหาไม่ได้ และนำไม่สู่ภาวะวิกฤต
ในสังคมที่สลับซับซ้อนและมีปัญหายาก ๆ การใช้อำนาจแก้ปัญหาได้ผลน้อยลงๆ แต่ต้องใช้ความรู้ สังคมไทยยังขาดวัฒนธรรมและการใช้ความรู้ ยังเป็นสังคมใช้อำนาจ จึงแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ได้ ปัญหาสะสมมากขึ้นๆ จนวิกฤติ
นี่คือความอ่อนแอภายในของสังคมไทย
สังคมที่มีความอ่อนแอ เมื่อไปเชื่อมกับกระแสโลกซึ่งหมุนเร็วและแรง ย่อมหมดแรง ล้ม หรืออาจตาย เสมือนคนป่วยที่ไม่แข็งแรง ไปวิ่งบนสายพานที่หมุนเร็วและแรง ย่อมไปไม่รอด
การศึกษาไทยไม่มีพลังพอที่จะสร้างความเข้มแข็งให้สังคมไทย โดยมีทรรศนะใหม่ จิตสำนึกใหม่และทักษะใหม่ ที่เผชิญกับสถานการณ์ใหม่และปัญหาใหม่ได้
ที่พูดนี่มิใช่เพื่อตำหนิ เพราะเป็นเรื่องใหญ่และยากสุดกำลัง และระบบการศึกษาก็อยู่ใต้โครงสร้างอำนาจที่มีปัญหานั้นเอง แต่ถ้าเราเข้าใจสภาพปัญหา ก็สามารถช่วยกันคิดยุทธศาสตร์การศึกษาที่มีพลังในการแก้ไขความอ่อนแอทั้งมวลได้โดยไม่ยากเกินไป
ความทุกข์ 3 ประการในการศึกษาของไทย
ปัญหาใหญ่ ๆ ของการศึกษาไทยมี 3 เรื่อง คือ
1. ความเดือดร้อนแสนสาหัสในการแสดงหาและเข้าโรงเรียนดีๆ
พ่อแม่มีความวิตกกังวลว่าทำอย่างไรลูกจะได้เข้าโรงเรียนดีๆ ต้องเดือนร้อนวิ่งเต้นเส้นสาย ฝากฝัง เสียเงนเสียงทอง พล่านกันหมดทั้งประเทศ
เด็กมีความเครียดสูงในการที่จะสอบคัดเลือกเข้าสถานศึกษาดีๆ ต้องท่องหนังสือติวหามรุ่งหามค่ำ และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว บางโรงเรียนเมื่อนักเรียนของตัวเองเรียนจบ ม.3 ต้องไปสอบตัวเลือกใหม่ว่าจะมีสิทธิเรียนต่อชั้น ม.4 ในโรงเรียนเดิมของตนเองหรือไม่
ระบบการศึกษาที่ก่อความทุกข์แสนสาหัสให้กับทั้งผู้ปกครองและนักเรียนเช่นนี้ ไม่ยุติธรรมต่อคนทั้งแผ่นดิน
เราควรมีโรงเรียนดีๆ มากพอ จนนักเรียนสามารถเลือกเข้าเรียนได้ง่ายที่โรงเรียนใกล้บ้าน
2. การเรียนยาก ไม่สนุก น่าเบื่อ หรือการเรียนเป็นความทุกข์
การเรียนควรจะมีความเป็นสุข ชวนให้นักเรียนรู้ แต่การศึกษาของเราจะเน้นการท่องจำจากตำราเป็นดุ้นๆ ซึ่งจำยาก เข้าใจยาก เสียเวลามาก และเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ไม่ชวนให้ติดใจ ทำให้เกลียดการศึกษา เมื่อหมดเงื่อนไขบังคับก็หยุดการเรียนรู้ การหยุดการเรียนรู้ของคนไทยทำให้สติปัญญาไม่เพียงพอ และนำไปสู่ภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจและสังคม
ควรทำให้การเรียนรมีความสุข สนุก ชวนให้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
3. การศึกษาผลิตคนที่ขาดคุณภาพ
มนุษย์มีสมองที่มหัศจรรย์มาก สามารถเรียนรู้ที่จะบรรลุได้ดีทุกอย่าง คือรู้ความจริง แสวงหาความจริง ใช้ความจริง เพื่อความถูกต้องในการดำรงชีวิตและการอยู่ร่วมกัน ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม มนุษย์ควรจะ
- มีความเอื้ออาทรต่อกัน
- สามารถอยู่ร่วมกันด้วยความเป็นปรกติ หรือความสุข พัฒนาจิตใจหรือความดีให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ด้วยศักยภาพทางสมอง คนทุกคนควรจะมีโอกาสที่จะพัฒนาให้เต็มตามศักยภาพของความเป็นมนุษย์
แต่การศึกษาของเราเน้นที่การท่องจำเนื้อหาวิชาการต่างๆ มากมาย จึงยากและมีความทุกข์ดังกล่าวในข้อ 2 และทำให้ขาดคุณภาพแห่งการคิดเป็น ทำเป็น เรียนเป็น และการพัฒนาจิตใจให้สูงยิ่งๆ ขึ้น
คุณภาพเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ
การขาดคุณภาพนำไปสู่ความยุ่งยากต่างๆ และนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางเศษฐกิจสังคม การที่ประเทศขาดคนที่มีคุณภาพจึงเป็นภยันตรายใหญ่หลวงยิ่งนัก ปัญหาใหญ่ๆ ของการศึกษาทั้ง 3 เรื่องคือ
- ความเดือดร้อนแสนสาหัสของประชาชนในการแสวงหาโรงเรียนดีๆ
- การเรียนที่ยากและมีความทุกข์
- การศึกษาที่ผลิตคนขาดคุณภาพ
สิ่งเหล่านี้ทำร้ายสังคมไทยยิ่งนัก จึงเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นอันตรายที่จะนำประเทศไปสู่สภาวะวิกฤติ สมควรต้องแก้ไขหรือปฏิรูปการศึกษา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)