วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จิตเภท

จิตเภท


โดย. พญ.สุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา /คู่มือจิตเวชศาสตร์ สำหรับประชาชน หน้า 157-160





ประชาชน จำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจผิดและเชื่ออย่างผิดๆ ว่าโรคจิตเป็นโรคที่เกิดจากการกระทำของภูตผีปีศาจ และเป็นโรคที่รักษาไม่หาย จึงไม่พาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจิตเวชแต่กลับพาไปรดน้ำมนต์ เข้าทรง หรือปล่อยให้อยู่กับบ้านไปตามบุญตามกรรม บางรายในชนบทถึงกับล่ามโซ่ผู้ป่วยไว้กับเสาเรือน


จึงขอให้ท่าน ผู้อ่านโปรดเข้าใจ และเมื่อมีโอกาสก็ขอได้โปรดบอกกล่าวต่อๆ กันไปด้วยว่า โรคจิตนั้นส่วนมากรักษาให้หายได้เช่นเดียวกับโรคทางกาย ถ้าหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องเสียแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม โรคจิตก็เช่นเดียวกับโรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ฯลฯ บางรายอาจหายขาด บางรายเพียงแต่ทุเลา และบางรายก็อาจเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยปลายประการ เช่น ประเภทหรือลักษณะของโรคนั้น ความรุนแรง และระยะเวลาที่เป็นมา







จิตเภท


ใน บรรดาผู้ป่วยโรคจิตที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่งทั่วประเทศไทย จิตเภทเป็นโรคที่พบได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับโรคจิตประเภทอื่นๆ ผู้ป่วยจิตเภทแสดงอาการของโรคจิตให้ผู้ใกล้ชิดสังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่า จึงสมควรที่ประชาชนจะได้ทราบลักษณะอาการและวิธีการช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว


ไม่ว่าโรค จิตหรือโรคประสาทชนิดใดๆ ระยะเวลาและผลของการรักษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อาการของโรคดำเนินมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งมาหาแพทย์เร็วเท่าใดอาการก็ทุเลาได้เร็วและทุเลาได้มากเท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอาการมานานโรคย่อมเรื้อรังรักษาหายได้ยาก หรือในบางรายไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติได้เลยญาติหรือผู้ใกล้ชิดจึงควรรีบพา ผู้ป่วยมาพบจิตแพทย์โดยเร็วที่สุด


จิตเภทเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง แปลจากชื่อโรคในภาษาอังกฤษว่า ?schizophrenia? ผู้ป่วยอาจเกิดอาการไม่ชัดเจนมาก่อนเป็นเวลานานหลายๆ เดือนก็ได้


อาการ


ผู้ ป่วยจะแสดงความผิดปกติหลายๆ ด้านร่วมกัน คือมีความผิดปกติของความนึกคิด พฤติกรรม และอารมณ์มักจะเสียความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง เช่น เฉยเมย ไม่ยินดียินร้าย ไม่สนใจและไม่แสดงปฏิกิริยาทางอารมณ์หรือท่าที ไม่ว่าญาติหรือเพื่อนฝูงจะเป็นอย่างไรหรือแสดงต่อเขาอย่างไร ขาดความสนใจและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจโลกภายนอก เช่น ใครจะรักกัน ไฟจะไหม้ที่ใดก็ไม่รู้ มักแยกตัวอยู่คนเดียวไม่เข้ากลุ่ม เช่น เคยรับประทานอาหารที่โต๊ะพร้อมหน้าบิดามารดา ก็แยกไปรับประทานคนเดียวในห้องนอน ชอบอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาสังสรรค์กับครอบครัว เคยไปงานสังคมต่างๆ เช่น งานเลี้ยง งานศพ ก็ไม่ไปโดยไม่มีเหตุผล ความประพฤติมักเสื่อมถอยกลับไปคล้ายผู้ที่อยู่ในวัยอ่อนกว่า หรือบางรายอาจคล้ายทารกไปเลย เช่น ผู้ป่วยอายุ 30 ปี อาจแสดงกิริยาวาจาหรือแต่งกายคล้ายเด็กอายุ 10 ขวบ บางรายไม่ชอบสวมเสื้อผ้า มิใช่เพื่อโอ้อวดร่างกายส่วนที่ควรปกปิด หรือเพราะเกิดอารมณ์ทางเพศอย่างที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด แต่เป็นเพราะสภาพของจิตใจที่เสื่อมถอยกลับไปสู่วัยเด็กหรือวัยทารกดังกล่าว นั่นเอง ท่านคงสังเกตว่า ทารกหรือเด็กเล็กไม่ใคร่ชอบสวมเสื้อผ้าโดยไม่รู้สึกกระดากอาย ผู้ป่วยจิตเภทบางรายหัวเราะคิดคักอย่างไม่มีเหตุผล พูดคนเดียว หรือพูดกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน


ผู้ป่วยจิตเภทอาจมีพฤติกรรมแปลก ประหลาด เช่น ลุกขึ้นอาบน้ำเวลาตีสามขณะอากาศหนาว ลงไปแช่ในตุ่มน้ำที่ขังไว้สำหรับริโภค แต่งกายพิกลผิดผู้อื่นและผิดไปจากบุคลิกภาพเดิมของตนอย่างมาก หัวเราะสลับกับร้องไห้ จุดธูปสวดมนต์ทั้งวัน ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น บางรายเอะอะ อาละวาด หยาบคาย ก้าวร้าว หรือพูดจาเลอะเทอะไม่ได้ใจความหรือบางรายอาจไม่พูดเลยคล้ายเป็นใบ้ ไม่ยอมรับประทานอาหาร ไม่ยอมเคลื่อนไหวเหมือนรูปปั้น


นอกจากนี้ ผู้ป่วยจิตเภทบางรายอาจมีความผิดปกติซึ่งไม่เป็นความจริงในชีวิตของเขา เช่น หลงผิดว่าภรรยาเป็นชู้กับชายเพื่อนบ้าน หลงผิดว่าคู่สมรสหรือเพื่อนของตนมีความมุ่งร้ายจะเอาชีวิต หลงผิดว่าตนเป็นมหาเศรษฐีมีเงินหลายล้านบาท บางรายมีประสาทหลอน เช่น หูแว่วได้ยินเสียงเพื่อนด่าหยาบคาย ได้ยินเสียงบิดาสั่งให้ตัดนิ้วตนเองทิ้งเสีย หรือมีประสาทหลอนทางตา เห็นเป็นภาพหลอนว่าภรรยากำลังถือมีดตรงเข้ามาจะทำร้ายตน ผู้ป่วยหวาดกลัวมากจนอาจหาทางป้องกันตัว โดยรีบคว้าปืนยิงภรรยาเสียก่อน ทำให้เกิดคดีฆาตกรรม ซึ่งเป็นเรื่องชวนสลดใจที่ไม่น่าเกิดขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่ป้องกันได้


จาก การศึกษาผู้ป่วยคดีในโรงพยาบาลจิตเวชพบว่า มีหลายรายที่การฆาตกรรมนั้นเกิดจากอาการทางจิต คือเกิดจากอาการหลงผิดหวาดระแวง หรือประสาทหลอน และอาการผิดปกติเหล่านี้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดก็สังเกตเห็นมาก่อน แต่ไม่รีบพาไปรักษาด้วยความนิ่งนอนใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงปรากฏข่าวสะเทือนขวัญในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ในทำนองพ่อใช้ขวานฟันคอลูกในเปล สามีแทงภรรยาที่กำลังนั่งหันหลังทำกับข้าว เป็นต้น


ผู้ป่วยจิตเภทไม่จำเป็นต้องมีอาการดังกล่าวหลายอย่าง ร่วมกัน บางคนอาจแสดงอาการผิดปกติให้เห็นเพียงอย่างเดียวหรือสองอย่างก็ได้ เช่น อาจมีเพียงอาการหลงผิดชนิดระแวงร่วมกับหูแว่ว โดยยังคงประกอบกิจวัตรประจำวันได้เช่นปกติ และพูดคุยได้เรื่องราวดี บางคนอาจเพียงแต่แยกตัวเอง เฉื่อยเฉยไม่ทำการงาน ไม่ยินดียินร้ายแต่ก็ไม่เอะอะอาละวาด วุ่นวาย และไม่มีประสาทหลอนหลงผิดแต่อย่างใด


ตำราแพทย์แขนงจิตเวชศาสตร์ จึงแบ่งการวินิจฉัยโรคจิตเภทออกเป็นย่อยๆ อีกหลายประเภท ซึ่งจิตแพทย์ใช้ประกอบการพิจารณาทางวิชาการเพื่อให้การรักษาและพยากรณ์โรค


อาการ ต่างๆ ที่บรรยายมาข้างต้นล้วนเป็นอาการซึ่งผู้ใกล้ชิดจะสังเกตเห็นได้อย่างค่อน ข้างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมีพื้นเพความรู้ทางจิตเวชศาสตร์ก็พอทราบได้ว่าบุคคลนั้นเริ่ม ป่วยเป็นโรคจิตแล้ว จึงไม่ควรรีรอหรือลังเลที่จะพาไปหาจิตแพทย์เลย



สาเหตุ


จาก การศึกษาและงานวิจัยมากมาย ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่ชัดเจนของโรคจิตเภทได้ อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า โรคจิตเภทเกิดจากความผิดปกติทางชีวเคมีของร่างกายที่มีชื่อว่าโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมอง หรือพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันเป็นพหุปัจจัย จิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมทางจิตใจและสังคมซึ่งเริ่มตั้งแต่ในวัยทารกมีอิทธิพลไม่น้อย ในอันที่จะช่วยส่งเสริม หรือสนับสนุนให้เกิดอาการของโรค สิ่งแวดล้อมนี้มีความหมายกว้าง นับตั้งแต่บุคลิกภาพและท่าทีของบิดามารดาที่ต่อผู้ป่วย เช่น ญาติ ครู เพื่อน ผู้บังคับบัญ ชา ผู้ร่วมงาน ฯลฯ แต่อิทธิพลที่สำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์และท่าทีของมารดาต่อผู้ป่วยตั้งแต่ในวัยทารก มารดาได้ให้ความรักความเข้าใจและความอบอุ่นอย่างถูกต้องและพอเพียงหรือไม่ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่กระด้างชาเย็น เจ้าอารมณ์ ดุร้าย ทารุณ หรือตรงกันข้าม ปกป้องฟูมฟักบุตรจนเกินควร มีโอกาสและมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคทางจิตเวชหลายๆ ชนิด รวมทั้งโรคจิตเภทได้มากกว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่อบอุ่น อารมณ์คงเส้นคงวา และบรรลุวุฒิภาวะ


อุบัติการณ์และระบาดวิทยา


จิตเภท เป็นโรคจิตที่พบมากที่สุดในบรรดาโรคจิตทั้งหมด เกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกระดับการศึกษา อาชีพ และเศรษฐานะ แม้ว่างานค้นคว้าวิจัยในต่างประเทศจะแสดงว่าประชาชนในระดับเศรษฐกิจและสังคม ต่ำเป็นโรคจิตเภทมากกว่าพวกระดับเศรษฐกิจและสังคมสูงก็ตาม


จาก สถิติผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ปี พ.ศ. 2504 ผู้ป่วยโรคจิตที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล 2,406 ราย เป็นโรคจิตเภทเสีย 1,141 ราย หรือ 59.65% ของผู้ป่วยโรคจิตทั้งหมด จึงเห็นได้ว่า จิตเภทเป็นโรคจิตที่พบได้มากที่สุดในโรงพยาบาลจิตเวชของประเทศไทย สถิติที่ได้ใกล้เคียงกับสถิติของโรงพยาบาลจิตเวชในต่างประเทศมาก


ผู้ ป่วยโรคจิตเภทที่มารับบริการของโรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิตทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ 17 โรงพยาบาล ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศนั้น ประกอบไปด้วยผู้ป่วยทั้งที่เป็นนักศึกษาจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ครูอาจารย์ แพทย์ ข้าราชการพลเรือน พ่อค้า ชาวนา ชาวสวน กรรมกร ฯลฯ


โรค นี้พบมากในเกณฑ์อายุ 15-44 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บุคคลต้องเผชิญปัญหาการปรับตัวกับเหตุการณ์และความตึง เครียดของชีวิตหลายๆ ด้าน เช่น ปัญหาการศึกษา อาชีพ การสมรส การสร้างฐานะและครอบครัว เป็นต้น ฯลฯ ในเด็กและผู้ชราก็อาจพบโรคนี้ได้บ้าง แต่อุบัติการต่ำกว่าในวัยเจริญพันธุ์มาก


การรักษา


การ รักษาโรคทางจิตเวชได้วิวัฒนาการไปมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อน เช่น เมื่อศตวรรษก่อน ในยุคที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาเพิ่งเปิดรับผู้ป่วยโรคจิต ในครั้งกระนั้น โรงพยาบาลยังไม่มีแพทย์ศึกษาอบรมทางจิตเวชศาสตร์โดยตรง และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่พบยาสงบประสาทที่ให้ผลดีเยี่ยมเช่นในปัจจุบันนี้ การดูแลผู้ป่วยโรคจิตจึงเป็นไปอย่างล้าสมัย


แต่ในปัจจุบันเรา กล้ากล่าวได้ว่า การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคจิตของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เป็นการดูแลรักษาที่ทันสมัยเทียบเท่าอารยประเทศ แม้เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลมีหอผู้ป่วยหรือที่พักและเครื่องอำนวยความสะดวกเช่นเดียวกับโรง พยาบาลฝ่ายกายทั่วไปมิได้กักขังหรือผูกมัดผู้ป่วยไว้ในห้องลูกกรงเหล็กเช่น ที่ประชาชนบางคนเข้าใจผิด


ผู้ร่วมงานฝ่ายรักษาประกอบด้วยจิตแพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา


อนึ่ง ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท มิได้หมายความว่าจะต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาลทุกรายไป มีผู้ป่วยจำนวนมากที่อาจได้รับผลดีจากการรักษาแบบผู้ป่วยนอกคือยังอยู่บ้าน ได้ แต่มาพบแพทย์สม่ำเสมอตามกำหนดนัด เช่น สัปดาห์ละครั้ง ญาติผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าเมื่อผู้ป่วยเกิดอาการทางจิต แพทย์จะต้องรับไว้ เมื่อแพทย์แนะนำให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกก็โกรธ โดยเข้าใจผิดว่า โรงพยาบาลปฏิเสธไม่ให้บริการแก่ผู้ป่วย ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีโรงพยาบาลใดในโลกจะสามารถรับผู้ป่วยที่มารับการรักษาไว้เป็นผู้ป่วย ในได้หมดทุกราย เพราะนอกจากปัญหาใหญ่เรื่องจำนวนเตียงไม่พอกับจำนวนผู้ป่วยแล้วผู้ป่วยบาง รายโรคหรือโรคเดียวกันแต่อาการต่างกัน บางรายรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ผลดีกว่าด้วยซ้ำไป


ในกรณีผู้ป่วยโรค จิตเภท ผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการ อาการไม่รุนแรง ควบคุมเองได้ ญาติช่วยดูแลได้ หรือยังพอประกอบอาชีพได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาล


การพิจารณาว่าผู้ป่วยสมควร เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือไม่ จึงควรเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ตรวจเท่านั้น ญาติหรือผู้พาผู้ป่วยมาจึงควรรับฟังความเห็นของแพทย์


วิธีการ รักษาส่วนใหญ่ใช้ยารักษาโรคจิตเป็นหลัก ยาประเภทนี้มีหลายชนิดแพทย์จะเลือกสั่งให้เหมาะสมกับอาการของโรค ญาติจึงไม่ควรซื้อยาตามร้านขายยาให้ผู้ป่วยรับประทานเอง เพราะนอกจากจะไม่ถูกกับอาการของโรคแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายได้


ผู้ป่วยที่รับไว้ในโรงพยาบาล ยังมีวิธีการรักษาแบบอื่นร่วมด้วย ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะเลือกวิธีการร่วมเป็นรายๆ ไป เช่น


1. การทำจิตบำบัด คือ การทำให้ผู้ป่วยสบายใจขึ้น โดยพูดถึงปัญหาของผู้ป่วยด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับแพทย์ผู้รักษา

2. การรักษาด้วยไฟฟ้า ใช้ในผู้ป่วยบางราย

3. อาชีวบำบัด คือการรักษาแบบให้ผู้ป่วยทำงาน เช่น งานหัตถกรรมประดิษฐ์ของต่างๆ งานเย็บสาน จักทอ เพื่อมิให้ผู้ป่วยมีเวลาว่างฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกันก็ให้ประโยชน์ทางการรักษาด้วย เพราะกรรมวิธีของงานบางอย่างเป็นหนทางให้ผู้ป่วยได้ระบายอารมณ์หรือความ รู้สึกภายในด้วย เช่น การใช้ฆ้อนย้ำทุบเปลือกมะพร้าวแรงๆ เพื่อนำไปทำพรหมเช็ดเท้าเป็นทางระบายอารมณ์โกรธหรือความรู้สึกอยากทำร้ายผู้ อื่น นอกจากนี้เมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลไป อาจนำความชำนาญที่ได้รับไปประกอบอาชีพได้

4. สันทนาการบำบัดและการฟื้นฟูบุคลิกภาพ คือ การหย่อนใจ การกีฬา ศิลปะ และการรื่นเริงต่างๆ ซึ่ง นอกจากจะให้ประโยชน์ทางระบายอารมณ์และช่วยฟื้นฟูบุคลิกภาพของผู้ป่วยแล้วยัง ช่วยให้ผู้ป่วยโรคจิตซึ่งมักเสียความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น หรือแยกตัวจากสังคมได้ฝึกปรับตัวเข้าสังคมและสร้างความสัมพันธ์กับบุคลอื่น ด้วย อันเป็นการกรุยทางให้เขาได้กลับไปสู่สังคมและชุมชน อย่างที่สังคมและชุมชนเต็มใจต้อนรับเขา ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการรักษาผู้ป่วยจิตเภท


โรคจิตเภทส่วนมาก มักเป็นๆ หายๆ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมในครอบครัวและในสังคมของเขาเหมาะสม เช่น ครอบครัวอบอุ่น มีความเข้าใจ เห็นใจ และยอมรับผู้ป่วย เต็มใจรับผู้ป่วยที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลกลับคืนสู่ครอบครัวอย่างจริงใจ สังคมและชุมชนไม่แสดงความรังเกียจผู้ป่วยและผู้ป่วยเลือกดำเนินชีวิตอย่าง ไม่ต้องพบความตรึงเครียดมากนัก ผู้ป่วยเองติดตามผลการรักษากับแพทย์สม่ำเสมอ อาการก็มักไม่กลับกำเริบอีก


ในทางตรงกันข้าม หากสภาพครอบครัวและชุมชนของผู้ป่วยไม่เอื้ออำนวยหรือผู้ป่วยไม่ได้รับการ รักษาที่ถูกต้องและพอเพียง ก็อาจมีอาการกำเริบบ่อยครั้ง หรืออาจเป็นเรื้อรังจนบุคลิกภาพเสื่อมกลับคืนสู่สภาพปกติไม่ได้ตลอดชีวิต


อย่าง ไรก็ตาม การอบรมเลี้ยงบุตรหลานอย่างถูกต้องตามหลักสุขภาพจิตอันจะให้เยาวชนเจริญเติบ โตอย่างมีสุขภาพจิตดี ซึ่งนอกจากจะเป็นการป้องกันมิให้โรคจิตเภทกลับเป็นซ้ำอีก ยังเป็นการป้องกันโรคจิตโรคประสาทอื่นๆ และบุคลิกภาพแปรปรวนต่างๆ อีกด้วย



*******************************************




ที่มาของข้อมูล: จาก คู่มือจิตเวชศาสตร์ สำหรับประชาชน หน้า 157-160.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น