ภูมิปัญญาของเทวดาผู้ทรงคุณธรรม คือ อุปสรรคของประชาธิปไตย
นักปรัชญาชายขอบ
ที่มา : ประชาไท
อาจารย์
ท่านหนึ่งที่ไปสอนในหลักสูตรนานาชาติเล่าว่า
เด็กอเมริกันที่มาเรียนในเมืองไทย
มีเรื่องที่ต้องให้คิดถึงบ้านอยู่เรื่องหนึ่ง คือคิดถึงบรรยากาศของ
?การสนทนาเชิงลึก?
ซึ่งเขาบอกว่าในเมืองไทยเขาไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศที่ว่านี้เลย
ผม
ฟังแล้วก็เห็นด้วย อย่าว่าแต่เด็กอเมริกันจะเหงาเลย
อาจารย์ไทยที่คิดอะไรเชิงลึก หรือคิดเรื่องซีเรียสหน่อยก็เหงา
เพราะหาเพื่อนคุยด้วยได้ยาก
ผมเห็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเขาคุยกันสนุกปากเรื่องฟีล์ม-แอนนี่
คลิปฉาวของดารา แต่ไม่เห็นคุยเรื่องคลิปฉาวของศาลรัฐธรรมนูญ
แถมในห้องทำงานของบางภาควิชายังห้ามคุยเรื่องการเมืองเสียอีก
แต่มี
ข้อสังเกตอยู่อย่างคือ เวลาคนพวกนี้พูดถึงคนเสื้อแดง เขาจะกลายเป็น
?เทวดาผู้ทรงคุณธรรมและภูมิปัญญา? ขึ้นมาทันที
คือเขาจะตัดสินความผิดของคนเสื้อแดงว่าใช้ความรุนแรง ถูกจ้าง
ไม่รู้ประชาธิปไตย ฯลฯ
จากภูมิปัญญาที่คิดว่าตนเองเข้าใจคนเสื้อแดงอย่างสิ้นสงสัยเลยทีเดียว
มี
เรื่องเศร้าเรื่องหนึ่ง
คือผมได้มีโอกาสสนทนากับคนระดับศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ
นี้ เขาพูดถึงคนเสื้อแดงว่า ?มาชุมนุมแบบไม่รู้อะไร จะมาก็ต้องมีคนพามา
จัดให้มา จะกลับบ้านก็ต้องมีคนพากลับถึงจะกลับถูก
แบบนี้จะบอกว่ามาเรียกร้องสิ่งที่มันมีความหมายซับซ้อนอย่างเช่นประชาธิปไตย
ได้อย่างไร?
ผมเข้าใจว่าศาสตราจารย์ท่านนี้ท่านน่าจะนึกถึงภาพคนชนบท
เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ที่มีคำล้อเลียนความไม่รู้ของชาวบ้านว่า
มีเจ้าหน้าที่ทางราชการไปพูดถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วชาวบ้านก็ถามว่า
?ไอ้เทคโนโลยีที่ว่ามันกิโลละเท่าไหร่?
แต่ไม่น่าเชื่อว่าถึง
พ.ศ.นี้แล้ว ก็ยังมีคนล้อเลียนชาวบ้านในท่วงทำนองแบบเดิมๆ
ดังวิทยากรรับเชิญมาออกรายการทีวีช่อง 11 คนหนึ่ง
บอกว่าชาวบ้านถูกชวนมาโค่นอำมาตย์ พอมาถึงกรุงเทพฯ แล้วก็ถามว่า
?ไหนต้นอำมาตย์อยู่ไหน พวกเราจะช่วยกันโค่น!?
นี่คือปัญหาสำคัญของ
พวกเทวดาบนหอคอยงาช้างครับ คิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้เจนจบ ฉลาดอยู่ฝ่ายเดียว
เที่ยวตัดสินชาวบ้านด้วยทัศนะอันตื้นเขิน!
ความจริงคือ
ช่วงไม่น้อยกว่าสองทศวรรษมานี้คนชนบทเปลี่ยนไปพอสมควร
ยกตัวอย่างเช่นตัวผมเองมาจากครอบครัวรากหญ้าในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งของ
จังหวัดขอนแก่น ผมถูกจับบวชเณร ตั้งแต่อายุ 14 ปี
จึงได้เรียนหนังสือจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสงฆ์
แล้วก็ไปทำงานหาเงินเรียนจบปริญญาโทในมหาวิทยาลัยของรัฐ
จนจับพลัดจับผลูมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
แม่ผม
ญาติพี่น้องผมก็ยังเป็นรากหญ้าอยู่เหมือนเดิม
แต่อาจดีขึ้นหน่อยคือเวลาลำบากก็ไม่ถึงขนาดต้องไปยืมข้าวสารเพื่อนบ้านมา
นึ่งเหมือนเมื่อก่อน ครอบครัวน้องสาวผมยังทำนา และรับจ้างทั่วไป (กรรมกร)
แต่ลูกชายคนโตของเขาเพิ่งจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
และทำงานอยู่ในเมือง คนรองกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันปีที่ 3
คนเล็กเรียน ม. 4 เพื่อนบ้านหลายๆ
คนที่ปากกัดตีนถีบเหมือนกันเขาก็ดิ้นรนแบบเดียวกันนี้
คือส่งลูกมาเรียนอยู่ในเมือง ทำงานอยู่ในเมือง
คือชาวบ้านเขายังจน
แต่เขาก็ดิ้นรน เห็นคุณค่าของการศึกษา ออกจากบ้านไปทำงานในกรุงเทพฯ ในหลายๆ
จังหวัด มีการติดตามข่าวสารบ้านเมือง ความคิดความอ่าน
โลกทัศน์เปลี่ยนไปมาก
ฉะนั้น คนชนบทปัจจุบันที่ยังทำไร่ทำนา
เป็นกรรมกร อาจจะมีลูกเป็นนักศึกษาปริญญาตรี โท เอก เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
หรือทำงานอาชีพต่างๆ ในสังคมเมือง
ที่เขามาเรียกร้องประชาธิปไตยนับหมื่นนับแสนไม่ใช่คนโง่ที่อะไรๆ
ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนพามาพากลับอย่างที่ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยชั้นนำคิด!
แม่
ผมเล่าให้ฟังว่า
คนในหมู่บ้านก็ไปชุมนุมกับคนเสื้อแดงตลอดในช่วงเมษา-พฤษภาที่ผ่านมา
ผมถามว่าได้เงินค่าจ้างกันไหม? แม่ผมบอกว่าไม่รู้
ไม่เห็นใครมาเล่าให้ฟังว่าได้ค่าจ้าง แต่ที่เห็นแน่ๆ คือ
เวลาจะไปชุมนุมผู้ใหญ่บ้านจะประกาศทางหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้านเชิญชวนคนไป
ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ใครมีรถปิ๊คอัพก็ให้เอาไป
ใครไม่มีก็ให้อาศัยกันไป ส่วนใครที่ไปไม่ได้ก็ขอให้ร่วมบริจาคค่าน้ำมัน
ข้าวสารอาหารแห้ง ช่วยเหลือกันตามมีตามเกิดเท่าที่จะช่วยได้
ผมถาม
ว่า ผู้ใหญ่บ้านทำอย่างนั้น ทหารที่เข้ามาในหมู่บ้านเขาไม่ห้ามหรือ?
แม่ผมบอกว่าไม่รู้ว่าทหารจะห้ามหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่ไปชุมนุม
ผู้ใหญ่บ้านก็ประกาศทางหอกระจายข่าวทุกครั้ง
ชาวบ้านเขาก็ไม่ชอบที่ทหารเข้ามาในหมู่บ้านเกณฑ์คนมาอบรม
เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ทหารพูด
ไม่ใช่หมู่บ้านผมเท่านั้นที่เป็นแบบนี้
น้องสาวแม่ผมที่อยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งของจังหวัดหนองบัวลำภู ก็จัดผ้าป่า
3-4 ครั้ง ช่วยคนเสื้อแดงในหมู่บ้านให้ออกไปร่วมชุมนุม
ซึ่งผมแปลกใจมากว่าผู้หญิงในวัยใกล้ 70 อย่างแม่ผม
อย่างน้องสาวแม่ผมแต่ก่อนไม่เคยเห็นพูดเรื่องการเมืองเลย
แต่ปัจจุบันคนในวัยนี้
และเป็นจำนวนมากในหมู่บ้านลงทุนลงแรงต่อสู้ทางการเมือง
หรือต่อสู่เพื่อสิ่งที่เขาเรียกว่าประชาธิปไตย
ผมเองหลุดออกมาจาก
ชนบทมาใช้ชีวิตในสังคมเมือง อยู่ในมหาวิทยาลัย กลับพบแต่ ?คำพิพากษา?
ว่าชาวบ้านไม่รู้ประชาธิปไตย เป็นเหยื่อนักการเมืองโกง ถูกซื้อด้วยเงิน ฯลฯ
แม้ผมจะเชื่อว่าชาวบ้านส่วนหนึ่งก็อาจเป็นอย่างที่ว่าจริง
คือการต่อสู้ของชาวบ้านก็อาจไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่มันน่าเสียใจว่าคนที่พิพากษาชาวบ้านเช่นนี้ หลายคนเป็นนักวิชาการ
เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่เขาเคยเสียเวลาไปศึกษาตัวตน เหตุผล
ความคิดความอ่านของชาวบ้างไหมว่า
ทำไมพวกเขาจึงออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย!
ผมเขียนเรื่องนี้เหมือน
กับพูดซ้ำเรื่องเดิมๆ แต่มันก็เป็นเรื่องเดิมๆ ที่ยังเป็นปัญหาอยู่
เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจปรากฏการณ์การลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยของ
คนระดับล่างว่าจำเป็นต้องได้รับการมองให้ถูกต้อง
ไม่ใช่มองแค่ว่าพวก
เขาเป็น ?มนุษย์เครื่องมือ?
ต้องมองให้เห็นความเป็นคนของพวกเขาเท่าเทียมกับความเป็นคนของทุกคน
หนึ่งคนหนึ่งเสียงเป็นเจ้าของประเทศนี้เท่าๆ กัน
ข้อเรียกร้องและเหตุผลของพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างตรงไปตรงมา
อยาก
ถามปัญญาชน นักวิชาการ สื่อทั้งหลายว่า พวกคุณรู้ตัวหรือเปล่าว่า ชาวบ้าน
คนชนบท คนต่างจังหวัด คนขับแท็กซี่ ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
กรรมกรในสังคมเมือง
พวกเขาก้าวล้ำหน้าพวกคุณไปไกลแล้วในเส้นทางการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย!
ถ้า
ตามไม่ทันชาวบ้าน
ก็ขอบิณฑบาตว่าอย่าทำตัวเป็นเทวดาผู้ทรงคุณธรรมและภูมิปัญญาเที่ยวพิพากษา
ชาวบ้านผิดๆ อีกต่อไปเลย หรือถ้าไม่มีปัญญาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ก็อย่าทำตัวขัดขวางกระบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของชาวบ้านอีกเลยครับ!
บทความนี้มาจาก article-spadmc.blogspot.com/2010/11/blog-post_7354.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น