ประเทศไทยกับอาเซียน
1. อาเซียน : จากสมาคมสู่ประชาคม
ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนได้มีพัฒนาการมาเป็น
ลำดับ
และไทยก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือของอาเซียนให้มีความคืบหน้ามา
โดยตลอด โดยเมื่อเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2510
สภาพแวดล้อมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความตึงเครียด
อันเป็นผลมาจากสงครามเย็น ซึ่งมีความขัดแย้งด้านอุดมการณ์
ระหว่างประเทศที่สนับสนุนอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยกับประเทศที่ยึดมั่น
ในอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์
ในขณะเดียวกัน
ความขัดแย้งด้านดินแดนระหว่างประเทศในภูมิภาค เช่น ความขัดแย้งระหว่าง
มลายาและฟิลิปปินส์ ในการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนซาบาห์และซาราวัก
รวมทั้งการที่สิงคโปร์แยกตัวออกจากมลายา
ทำให้หลายประเทศเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการร่วมมือกันระหว่างประเทศใน
ภูมิภาค
ดร. ถนัด คอมันตร์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้น
ได้มีบทบาทสำคัญในการเดินทางไปเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างประเทศ
เพื่อนบ้านเหล่านี้
และได้เชิญให้รัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีก 4
ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์
มาหารือร่วมกันที่แหลมแท่น จ. ชลบุรี อันนำมาสู่การลงนามในปฏิญญากรุงเทพ
เพื่อก่อตั้งอาเซียน ที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510
ไทยจึงถือเป็นทั้งประเทศผู้ร่วมก่อตั้งและเป็น ?บ้านเกิด? ของอาเซียน
อาเซียนได้ขยายสมาชิกภาพขึ้นมาเป็นลำดับ
โดยบรูไนได้เข้าเป็นสมาชิกเป็นประเทศที่ 6 ในปี 2527
และภายหลังเมื่อประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เหลืออีก 4 ประเทศ คือ
เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา ได้ทะยอยกันเข้าเป็นสมาชิกจนครบ 10 ประเทศ
เมื่อปี 2542
นับเป็นก้าวสำคัญที่ไทยได้มีบทบาทเชื่อมโยงประเทศที่ตั้งอยู่บนภาคพื้นทวีป
และประเทศที่เป็นหมู่เกาะทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลาง
ถึงแม้ว่า ปฏิญญากรุงเทพ
จะมิได้ระบุถึงความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง
โดยกล่าวถึงเพียงความร่วมมือกันด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา
การเกษตร อุตสาหกรรม การส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
แต่อาเซียนได้มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความไว้เนื่อเชื่อใจระหว่างประเทศ
ในภูมิภาค ลดความหวาดระแวง
และช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
และที่สำคัญ
ไทยได้เป็นแกนนำร่วมกับอินโดนีเซียและประเทศสมาชิกอาเซียนดั้งเดิมในการ
แก้ไขปัญหากัมพูชา
รวมทั้งความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยอินโดจีนจนประสบความสำเร็จ
ลุล่วงไปด้วยดี และช่วยเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ
และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อไทยซึ่งเป็นประเทศด่านหน้า
นอกจากนี้ ประเทศไทย
โดยท่านอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน
ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้มีความ
คืบหน้า โดยการริเริ่มให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ ASEAN Free
Trade Area (AFTA) ขึ้นเมื่อปี 2535
โดยตกลงที่จะลดภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือร้อยละ 0-5 ในเวลา 15 ปี
ซึ่งต่อมาได้ลดเวลาลงเหลือ 10 ปี โดยประเทศสมาชิกเก่า 6 ประเทศ
ได้ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2546 ในขณะที่ประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ คือ
กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ดำเนินการเสร็จสิ้นในปี 2551
ในปัจจุบัน บริบททางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
โดยเฉพาะการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง คือ
จีนและอินเดีย
รวมทั้งแนวโน้มการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ
ตลอดจนปัญหาท้าทายความมั่นคงในรูปแบบใหม่ เช่น โรคระบาด การก่อการร้าย
ยาเสพติด การค้ามนุษย์ สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติ
ทำให้อาเซียนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของ
สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ
รวมทั้งเพื่อจัดการกับปัญหาท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ปฏิญญากรุงเทพ ที่ก่อตั้งอาเซียน เมื่อปี 2510
ได้ระบุวิสัยทัศน์และวางรากฐานสำหรับการรวมตัวเป็นประชาคมของอาเซียนตั้งแต่
แรกเริ่ม แต่โดยที่สถานการณ์ทางการเมืองในภูมิภาคในขณะนั้น ไม่เอื้ออำนวย
เนื่องจากอยู่ในยุคของสงครามเย็น
แนวคิดเรื่องบูรณาการในภูมิภาคจึงไม่ได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง
แต่ต่อมาเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ประเทศในภูมิภาคจึงสามารถหันหน้าเข้าหากันและร่วมมือกันมากขึ้น
ส่งผลให้แนวคิดที่จะมีการรวมตัวการอย่างเหนียวแน่นได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีก
ครั้งหนึ่ง โดยอาจกล่าวได้ว่า ข้อริเริ่มของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์
ปันยารชุน ในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน
นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการรวมตัวเป็นประชาคมของอาเซียนโดยเริ่มจากเสา
เศรษฐกิจ
ต่อมา ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนที่บาหลี เมื่อปี 2546
ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะสร้าง ประชาคมอาเซียน
โดยมีการจัดทำแผนงานด้านต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
นำมาสู่การจัดทำกฎบัตรอาเซียน
เพื่อวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรของอาเซียน
ทำให้อาซียนเป็นองค์กรที่มีกฎกติกาในการทำงาน มีประสิทธิภาพ
และเป็นองค์กรเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กฎบัตรฯ
ได้เริ่มมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551
ซึ่งเป็นช่วงวลาเดียวกับที่ประเทศไทยได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน
ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552
ได้รับรองปฏิญญาชะอำ-หัวหินว่าด้วยแผนงานสำหรับการจัดตั้งประชาคมอาเซียนใน
ทั้ง 3 เสาหลัก คือ ประชาคมการเมืองความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจ
และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม
เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของการจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2558
2. ประเทศไทยกับการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน
เมื่อไทยเข้าดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนต่อจากสิงคโปร์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2551
นับเป็นช่วง หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญในการสร้างประชาคมอาเซียน
รวมทั้งอยู่ในช่วงเดียวกับที่คนไทย คือ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ
ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน
ไทยจึงให้ความสำคัญต่อการวางรากฐานสำหรับการสร้างประชาคมอาเซียนเพื่อให้
เป็นประชาคมที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ
โดยการเสริมสร้างประสิทธิภาพของกลไกต่าง ๆ
ของอาเซียนให้สามารถเข้าไปร่วมแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่
ของประชาชนได้อย่างทันท่วงที
ทั้งปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน
ผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินโลก สิ่งแวดล้อม
รวมทั้งการป้องกันและควบคุมโรคระบาดต่าง ๆ เช่น
การประสานมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการสร้างอุปสงค์ (demand)
ภายในภูมิภาคเพื่อรองรับผลกระทบ จากวิกฤติการณ์ทางการเงินโลก
การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ
โดยมอบหมายให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ประสานงานในกรณีที่เกิดภัยพิบัติขนาด
ใหญ่
รวมทั้งการจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาในเอเชีย
ตะวันออก อีก 3 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
เพื่อประสานนโยบายและมาตรการในการควบคุมากรแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สาย
พันธุ์ใหม่ (H1N1)
นอกจากนี้ ไทยได้ผลักดันให้กลไกใหม่ ๆ
ของอาเซียนที่กำหนดไว้ในกฎบัตรฯ สามารถดำเนินงาน ได้อย่างครบถ้วน
ทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียนที่กรุงจาการ์ตา
คณะมนตรีประสานงานอาเซียน และคณะมนตรีประจำประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก
รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคประชาสังคมต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วม
เพื่อช่วยกันสร้างประชาคมอาเซียน
ดังจะเห็นได้จากริเริ่มให้มีการพบปะอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำอาเซียน
กับผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน เยาวชนอาเซียน และภาคประชาสังคมอาเซียน
ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 และครั้งที่ 15
ที่ชะอำ-หัวหิน
เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งของไทยในการสร้างประชาคมอาเซียนให้เป็น
?ประชาคมเพื่อประชาชน? ก็คือ
การจัดตั้งกลไกสิทธิมนุษยชนอาเซียนเพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความ
ร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องและ
องค์กรภาคประชาสังคมต่าง ๆ
ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของประชาชนในภูมิภาค ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า
เป้าหมายดังกล่าวได้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมในระหว่างการประชุมสุดยอดอา
เซียน ครั้งที่ 15 ที่ชะอำ-หัวหิน เมื่อเดือนตุลาคม 2552
ซึ่งมีการประกาศจัดตั้ง
คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ขึ้นอย่างเป็นทางการ
ซึ่งนับเป็นความสำเร็จประการหนึ่งที่ไทยในฐานะประธานอาเซียนได้มีบทบาทสำคัญ
ในการผลักดัน
3. อาเซียน : วิสัยทัศน์ในอนาคต
ถึงแม้ว่าอาเซียนจะประสบความสำเร็จในด้านการเสริมสร้างความมั่นคงและความ
ร่วมมือในภูมิภาคจนเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
แต่ก็ยังมีปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขให้ลุล่วงเพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อความ
ร่วมมือและพัฒนาการในอนาคต ที่สำคัญ คือ
ปัญหาความล่าช้าในการดำเนินงานและการที่ประเทศสมาชิกไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
ต่าง ๆ ดังจะเห็นได้ว่า ในแต่ละปีอาเซียนมีการประชุมกว่า 700 การประชุม
รวมทั้งมีการประเมินว่า
ในบรรรดาความตกลงทางเศรษฐกิจที่ประเทศสมาชิกจัดทำไว้ร่วมกันรวม 134 ฉบับ
มีเพียง 87 ฉบับ ที่ได้ห้สัตยาบันและมีผลใช้บังคับแล้ว
ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 65 เท่านั้น
นอกจากนี้
ในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายเรื่องการจัดตั้งประชาคมภายในปี 2558
อาเซียนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับประชาชนทั้งในเรื่องการให้ประชาชนได้เข้า
มามีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นเจ้าของประชาคมที่จะสร้างขึ้น ทั้งนี้
บทเรียนจากสหภาพยุโรปชี้ให้เห็นว่า
ประชาคมจะไม่สามารถบรรลุผลได้หากประชาชนไม่ให้การสนับสนุน ดังนั้น
ในช่วงเวลานับจากนี้จนถึงปี 2558
ไทยจะพยายามผลักดันให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มุ่งเน้นการปฏิบัติ (Community
of Action) มีการเชื่อมโยงและติดต่อสื่อสารระหว่างกัน อย่างใกล้ชิด
(Community of Connectivity) รวมทั้งเป็นประชาคมเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
(Community of People)
ในประเด็นแรก
ไทยจะผลักดันให้เร่งรัดการดำเนินการตามข้อตกลงต่าง ๆ
ของอาเซียนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
โดยเลขาธิการอาเซียนจะมีบทบาทสำคัญในการติดตามให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตาม
พันธกรณีต่าง ๆ รวมทั้ง
จะต้องพัฒนากรอบความร่วมมือของอาเซียนให้สามารถแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อ
ประชาชนได้อย่างทันท่วงที เช่น
ความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต
วัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ
หรือการนำความสำเร็จของกลไกสามฝ่ายระหว่างอาเซียน-สหประชาชาติและพม่าในการ
ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยจากไซโคลนนาร์กีสในพม่ามาประยุกต์ใช้ในการ
แก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงญา เป็นต้น
สำหรับการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงในภูมิภาค นั้น
จะต้องดำเนินการทั้งในด้านกายภาพ คือ การพัฒนาเส้นทางคมนาคม ทั้งทางบก
ทางน้ำ และทางอากาศ ตลอดจนเครื่อข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ต่าง ๆ
เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านการติดต่อค้าขาย การท่องเที่ยว
และการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนนอกจากนั้น
ยังต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมโยงในเชิงจิตวิญญาน คือ
การทำให้ประชาชนในภูมิภาคมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและตระหนักถึง
การเป็นประชากรของอาเซียนร่วมกัน
ถึงแม้ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายใน
ด้านเชื้อชาติ และศาสนา แต่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้
ก็มีรากฐานทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมร่วมกัน
เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่เป็นจุดบรรจบของอารยธรรมจีนและอินเดีย ดังนั้น
ประเด็นที่ท้าทายสำหรับอาเซียนในอนาคต ก็คือ การเสริมสร้างอัตลักษณ์ หรือ
คุณลักษณะร่วมกันของประชาชนในอาเซียน โดยผ่านการศึกษา
การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม สื่อสารมวลชน
และการส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้าง
ความเข้าใจระหว่างประชาชนให้ยอมรับถึงความแตกต่างและสามารถอยู่ร่วมกันได้
อย่างสงบสุข
นอกจากนี้
ยังมีความจำเป็นที่ที่จะต้องส่งเสริมให้ประชาชนของแต่ละประเทศมองประเทศ
เพื่อนบ้านอาเซียนในลักษณะที่เป็นมิตร
และไม่นำประเด็นความขัดแย้งในประวัติศาสตร์มาเป็นอุปสรรค
ต่อการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในอนาคต ซึ่งในเรื่องนี้
ไทยจะริเริ่มให้มีการพิจารณาประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ร่วมกันในเชิงความร่วมมือมากขึ้น
4. ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ
ตลอดระยะเวลา 40
กว่าปีที่ผ่านมาไทยได้ประโยชน์หลายประการจากอาเซียน
ทั้งในแง่การเสริมสร้างความมั่นคงซึ่งช่วยเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
โดยในปัจจุบันอาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย
มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 1.75 ล้านล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ
19.2 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย ในจำนวนนี้
เป็นการส่งออกจากไทยไปอาเซียนร้อยละ 20.7 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลมาตลอด
การรวมตัวกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นทางด้านเศรษฐกิจ
ประกอบกับการขยายความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น
เส้นทางคมนาคม ระบบไฟฟ้า โครงข่ายอินเตอร์เน็ต ฯลฯ
ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนให้กับไทย
โดยขยายตลาดให้กับสินค้าไทยจากประชาชนไทย 60 ล้านคนเป็นประชาชนอาเซียนเกือบ
600 ล้านคน และเป็นแหล่งเงินทุนและเป้าหมายการลงทุนของไทย
ซึ่งไทยจะได้เปรียบประเทศสมาชิกอื่นเพราะมีที่ตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน
สามารถเป็นศูนย์กลางทางการคมนาคมและขนส่งในภูมิภาค
ในอนาคต
คนไทยจะได้รับประโยชน์จากการรวมตัวเป็นประชาคมของอาเซียนมากน้อยเพียงใดย่อม
ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมของเรา ดังนั้น
การสร้างความตื่นตัวและให้ความรู้กับประชาชน จึงเป็นเรื่องสำคัญ
เพื่อให้ตระหนักถึงโอกาสและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันซึ่งจะช่วยให้
คนไทยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในทางลบแก่ภาคส่วนต่าง ๆ
************************
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กระทรวงการต่างประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น