ภาษาไทยโดย : xsci.blogspot.com
...มีมากมายหลายเหตุผลว่าทำไมเมือง
ต่าง ๆ เหล่านี้ถึงถูกทิ้งร้าง
ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจอันเป็นปัจจัยหลังของเหมืองล้มเหลว หนี้สิน
ธรรมชาติ ภัยพิบัติจากธรรมชาติ หรือรัฐบาลไม่มีอำนาจควบคุม
ทำให้สถานที่ทิ้งร้างเหล่านี้ในบางเมืองร้างกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใน
ปัจจุบัน แต่!! ในบางที่เหล่านี้หากเข้าไปอาจมีอันตรายและผิดกฏหมาย
แต่หลายคนกลับหลงไหลในสิ่งที่น่ากลัวเหล่านั้น จึงเสนอ 10
อันดับเมืองร้างทั่วโลก
Update ชมเป็นคลิ๊บ VDO
เริ่มจากอันดับ 10 Bodie, California แคลิฟอเนีย
ก่อ
ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1876 เป็นเมืองในแบบอเมริกันแท้
เมืองนี้ได้เริ่มก่อตั้งถิ่นฐานจากการเป็นเมืองเล็ก ๆ ในการทำเหมืองแร่
นัับตั้งแต่ค้นคบเหมืองก็มีคนนับพันได้หลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐานประกอบ
กิจการค้า จากจำนวนประชากร 1880 คน - เพิ่มขึ้นเป็น 10000 คน
ในเมืองนี้มีร้านขายเครื่องดื่มกว่า 65 ร้าน
เรียงรายสองฝั่งถนนหลักของเมือง
และมีไชน่าทาวน์เป็นย่านที่อาศัยของคนจีนที่นี่ด้วย
การ
ลดลงของทรัพยากรเป็นปัจจัยเหตุสำคัญในการอยู่อาศัย
อย่างไรก็ตามเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจนกระทั่งศตวรรษที่ 20
ได้เกิดเหตุการไฟไหม้ใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านธุรกิจอย่างรุนแรงในปี ค.ศ.
1932 เมืองนี้ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่สำคัญในปี ค.ศ. 1961 และในปี ค.ศ. 1962
ผู้คนเริ่มเข้ามาอยู่อาศัยและฟื้นฟูเมืองให้คืนสู่สภาพเดิม
ปัจจุบัน
นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้ และเดินบนถนนสายหลักชมสภาพเมือง
ซึ่งได้รับการฟื้นฟูเพื่อเป็นการรำลึกถึงอดีตที่เคยรุ่งเรือง
ซึ่งเปิดให้เยี่ยมชมเกือบตลอดทั้งปี ปิดเฉพาะฤดูหนาวเนื่องจากหิมะตกหนัก
เวลาที่ควรไปที่ยวที่นี่คือช่วงระหว่างเดือนในฤดูร้อน
อันดับที่ 9 San Zhi, Taiwan ไต้หวัน
ตัว
เลือกที่มากกว่าความทันสมัย
นี่คือภาพของเมืองที่ถูกทิ้งร้างทางตอนเหนือของใต้หวัน ในเขต San Zhi
ช่างน่าเหลือเชื่อที่หมู่บ้านนี้ได้ถูกสร้างอย่างหรูหราสำหรับพักร้อนสำหรับ
มหาเศรษฐี
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุในการก่อสร้างอย่างร้ายแรงหลายครั้ง
ในระหว่างการก่อสร้าง ทำให้การก่อสร้างได้หยุดลง
ประกอบกับการขาดเงินทุนและความเต็มใจในการก่อสร้าง
นั่นเป็นปัจจัยที่ทำให้การก่อสร้างได้ถูกหยุดลงอย่างถาวร
แต่ชาวต่างชาติที่ชื่นชอบในโครงสร้างยังคงอยู่ในความทรงจำไม่ลบเลือน
แต่ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึงความน่าสะพรึงกลัวในความลี้ลับ...ในสถานที่แห่ง
นี้...
หลัง
จากนั้นทั้งหมดก็ไม่ได้รับการดูแลรักษา
ผู้ที่ผ่านมาที่นี่จะพบกับเหตุการณ์ประหลาด
และขอบคุณไปยังสถาปนิกที่มีชื่อเสียงที่ได้สร้างอนุสรณ์ที่แสดงถึงตำนานความ
เติบโตทางเศรษฐกิจ
แต่ก็อาจจะมีการพัฒนาใหม่อีกครั้งนั่นก็หมายถึงต้องทำลายบ้านแห่งวิญญาณอัน
โดนเดี่ยวเหล่านี้ทิ้ง...
อันดับที่ 8 Varosha, Cyprus ไซปรัส
Varosha
ในภาษาตุรกีเมืองหนึ่งในไซปรัส ก่อนหน้านี้เป็นเขตท่องเที่ยวสมัยใหม่
ทันสมัยและหรูหรามากที่สุดอย่างไรก็ตามใน ปี ค.ศ. 1974
ตุรกีได้เข้ามารุกรานไซรัส ทำให้ประชาชนพลเมืองหนีออกไป
หวังว่าจะกลับมาอยู่อาศัยเมื่อเหตุการณ์สงบ
ซึ่งกองทัพตุรกีได้วางรั้วลวดหนามควบคุมเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ทำให้ไม่มีใคร
สามารถกลับเข้ามาได้ในวันนั้น...ซึ่งทำให้เมืองกลายเป็นเมืองร้างที่แสน
วังเวงเงียบเหงา....
หลัง
จากนั้นก็ได้มีแผนการพัฒนาร่วมระหว่างกรีกและไซปรัส
แต่ข้อเสนอดังกล่าวได้ถูกปฏิเสธ
แต่ข้อเสนอยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง
แต่กระนั้นก็ไม่มีวัสดุในการก่อสร้างพัฒนา
เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นั้นยังมีความพยายามที่จะร่วมมือพัฒนาระหว่าง
รัฐบาลของสองประเทศให้ Varosha กลับมาสวยงามดังเดิม
ภายใต้แนวคิดให้เป็นศูนย์กลางของโรงแรม โดยการออกแบบของ Laxia Inc.
ภายในปี ค.ศ. 2010
อันดับที่ 7 Gunkanjima, Japan
Hashima
Island หนึ่งในหมู่เกาะ ที่ปราศจากผู้คน ห่างจาก นางาซากิ 15 กิโลเมตร
มีชื่อเรียกกันเล่น ๆ ว่าเกาะเรือรบ มีกำแพงป้องกันสึนามิเป็นขอบสูง
เกาะนี้เริ่มจากการเป็นเหมืองถ่านหิน ที่่ขุดเจาะโดยบริษัท มิตซูบิชิ
ที่ได้ซื้อเกาะนี้มาเพื่อเป็นฐานในการขุดเจาะถ่านหินจากในท้องทะเล ใน ค.ศ.
1890 ซึ่งโครงการนี้เป็นที่ดึงดูดผู้จนจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นเมืองเจริญ
เป็นตึกอาคาร รวมถึงร้านค้า
ใน ค.ศ. 1959 ประชากรหนาแน่นมาก 835 ต่อ เฮกตาร์
ซึ่งหนาแน่นจนถูกบันทึกเป็นสถิติโลก ต่อมาในปี 1960 มีการค้นพบปิโตรเลี่ยม
ทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินลดลง จนกระทั่งปิดกิจการในที่สุด
ปัจจุบันเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ทีการถ่ายภาพยนเรื่อง Battle Royale II
และฉากเกมส์อันโด่งดัง 'Killer7'.
อันดับที่ 6 Balestrino, Italy
Balestrino
ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่
เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้างตั้งแต่ ศตวรรษที่ 7
ซึ่งเมืองนี้มีเจ้าของเป็น พระนิกายหนึ่งในศาสนาคริสต์
มองที่ภาพด้านบนแล้วประกอบไปด้วยปราสาท ระดับต่ำลงมาจะเป็นเขตวัด
จากการบันทึกด้านประชากรเมืองนี้มีประชากรประมาณ 800-850 คน
ประกอบอาชีพปลูกต้นมะกอก เป็นส่วนใหญ่
อันดับที่ 5 Katoli World, Taiwan
เรา
คิดว่าจะหยุดและออกจากเมืองร้างเหล่านี้
แต่เมื่อมองไปยังรูปปั้นอันมีจิตวิญญาณเมื่อใครได้มองรูปปั้นเหล่านั้น
ก็จะรับรู้ได้ถึงความเป็นครอบครัว และมองข้ามความเก่าแก่รกร้าง
สวนหนุกแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในยุค 80
และนับจากนั้นเป็นต้นมาก็เสื่อมความนิยมและถูกทิ้งร้าง
ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติของทวีบเอเชีย
ซึ่งยังมีอีกหลายที่กลายเป็นสถานที่รกร้างด้วยเหตุผลเดียวกัน
ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ถูกทิ้งร้างด้วยเหตุผล...ของการล้มละลายทางการเงิน
Katoli World ตั้งอยู่ เขต Dakeng Scenic ของใต้หวันเปิดทำการกลางยุค 80 ประสบความสำเร็จในระดับกลาง
อันดับที่ 4 Centralia, Pennsylvania เพนซิเวเนีย
Johnathan
Faust เป็นผู้ที่เปิดร้านขายเหล้าในเมือง Centralia ค.ศ. 1841
และต่อมาเขาได้เปิดบริษัทเป็นเหมืองผลิตถ่ายหินใน ค.ศ. 1866.
ซึ่งนับแต่นั้นมาบริษัทได้เป็นผู้สร้างรายได้หลักกับเมืองนี้และก่อเกิดเป็น
ชุมชนตั้งแต่ ค.ศ.1960 นับแต่นั้นมา ซึ่งเมืองคราคร่ำไปด้วยผู้คน มีบริษัท
ห้างร้านเปิดขึ้นมากมาย นับว่าเจริญขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เมืองนี้ได้ถูกทิ้งร้างก็เมื่อมีการเผาขยะมูล
ฝอยจากเมืองและทำให้ไฟลุกลามไปยังถ่านหินชั้นใต้ดิน
มีการพยายามดับไฟที่ไหม้ถ่านหินอยู่ใต้ดินด้วยน้ำ หรือปูนซีเมนต์
ฉีดอันลงไป ซ้ำร้ายยังระเบิดด้วยแรงอัดจากไอน้ำ
ไม่ประสบความสำเร็จไฟลุกลามอยู่ใต้ดินเป็นเวลาหลายปีตั้งแต่ ค.ศ. 1960s ถึง
1970 ควันที่เกิดจากการเผาไหม้ก่อเป็นสารเคมี คาบอนมอนอกไซต์
ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
เมื่อฟุ้งกระจายในอากาศผสมกับน้ำฝนจะกลายเป็นฝนกรด...
ใน
ค.ศ. 1979 พื้นที่ดังกล่าวได้กำหนดให้เป็นพื้นที่เสี่ยงภัย
เมื่อสถานีกาซเชื้อเพลิงได้ประกาศถึงอุณภูมิของถังเก็บก๊าซร้อนมากกว่าปกติ
ถึงระดับอันตราย 77.8?C และเป็นข่าวอันโด่งดังเมื่อมีเด็กอายุ 12 ปี
ตกลงไปในหลุมร้อนขนาด กว้าง 4 ฟุต ยาว 150 ฟุต ทำให้เสียชีวิต ในปี
ค.ศ.1984 ได้ใช้เงินถึง 42 ล้านดอลล่า
เพื่อจัดการย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่ใกล้เคียง Mount Carmel and Ashland
ปัจจุบันไฟยังลุกไหม้ถ่านหินใต้ดินและจะไหม้ไปอีกนานถึง 250 ปี...
อันดับที่ 3 Yashima, Japan ญี่ปุ่น
*ณ วันนี้ ก็ขอให้กำลังใจผู้ประสบภัยในญี่ปุ่น และสิ่งที่น่าเศร้าก็คือเมืองฟูกุชิมะ น่าจะเป็นเมืองร้างที่เพิ่มมาอีก 1 เมือง
ยา
ชิม่า เป็นเมืองที่สวยงามบนที่ราบสูง
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองทากามัตสึ
เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองเป็นหนึ่งในเกาะหลักของญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่ราบ
สูงลาดลงสู่ทะเลและเป็นฐานทัพที่มีชื่อเสียงในสงคราม Genpei War
ซึ่งมีศูนย์กลางที่สำคัญคือวัด ยาชิมะ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้แสวงบุญ
แต่เมืองนี้ไม่เป็นที่นิยมที่จะอาศัยอยู่อย่างน่าประหลาด
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความผิดปรกติทางภูมิศาสตร์ หรืออะไรบางอย่างกันแน่...
ใน
กลางยุค 80
ประชาชนของเมืองนี้ได้ตั้งใจสร้างบ้านชั้นเลิศหรูเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
มีการทุ่มทุนมหาศาลบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ สร้างโรงแรมระดับหรูถึง 6
แห่ง สร้างสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะมีเสนห์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว
แต่ในขณะนั้นจำนวนนักท่องเที่ยวได้ลดลงเป็นอย่างมากแต่อสังหาริมทรัพย์
เพิ่มจำนวนขึ้น จึงทำให้การก่อสร้างพัฒนาทั้งหมด
ต้องปิดตัวลง...รวมถึงเคเบิ้ลคาร์ซึ่งเป็นระบบขนส่งหลักของเมืองนี้ด้วย...
อันดับที่ 2 Pripyat, Ukraine ยูเครน เหยื่อของเชอร์โนบิล
Pripyat
เป็นเมืองที่ถูกทิ้งร้างทางตอนเหนือของยูเครนเป็นเมืองที่มีชายแดนติดต่อกับ
ประเทศเบลารุสมีประชากรหนาแน่น เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล
ภัยพิบัตเชอร์โนบิลเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1986 ซึ่งแผ่กัมมันตภาพรังสี
อันตรายครอบคลุม ทำให้ต้องย้ายหนีอันตรายดังกล่าว
ซึ่งทำให้เมืองนี้เป็นอนุสรณ์เตือนให้นึกถึงอันตรายของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ที่ เทคโนโลยีที่มนุษย์ัยังควบคุมไม่ได้ และคร่าชีวิตประชาชนมากมาย
ใน
ปัจจุบันเมืองนี้ก็ยังไม่มีผู้อยู่อาศัยนับจากเหตุการณ์เกิดขึ้น ถึงปี 2011
ได้ 26 ปีผ่านมา ก่อนจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นมามีกา
ประชาชนมีความกังวลมากเพราะจุดสร้างโรงไฟฟ้าตั้งอยู่ใกล้เมืองมากเกินไปซึ่ง
ห่างจากเมืองเพียง 25
กิโลเมตรเท่านั้นแม้ว่าได้มีการจัดสรรเงินทุนประกันความเสี่ยงต่อมลภาวะแก่
ประชาชน ต่อมาได้มีการอภิปรายจนได้มติการสร้างให้ห่างออกไปอีกเป็น 100
กิโลเมตร
และเป็นจุดที่ได้มีการอนุมัติให้มีการสร้างที่แท้จริง...แม้ว่าระยะห่าง 100
กิโลเมตร รังสีอำหิตยังสามารถทำอันตรายกับประชาชน
และเป็นเมืองร้างอย่างทีเ่ห็นได้...นี่แหละเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังควบคุมเบ็ด
เสร็จไม่ได้...
อันดับที่ 1 Craco, Italy อิตาลี่
Craco
ตั้งอยู่ในภูมิภาค Basilicata จังหวัด Matera ห่างจากโตรานโต้ประมาณ 25
ไมล์ เมืองได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยกลางตามสภาพภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา
ส่วนที่ราบรอบ ๆ เมืองนั้นเป็นฟาร์ม ทุ่งข้าวสาลี และไร่พืชผล
สถานที่แห่งนี้มีเจ้าของเป็นหัวหน้าบาทหลวงในศาสนาคริส
ซึ่งมีอิทธิพลต่อพลเมืองในสมัยนั้น
ใน
ปี ค.ศ. 1891 Craco มีประชาชนเป็นจำนวนกว่า 2,000 คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้
แต่เกิดปัญหาหลายอย่างเช่น ยากจน ปัญหาที่อยู่อาศัย
ทำให้ประชาชนเริ่มอบยพทิ้งถิ่นฐาน ในระหว่างปี ค.ศ.1892 ถึง 1922
ประชาชนมากกว่า 1,300 ได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในแถบทวีปอเมริกาเหนือ
ความยากจนจากการสร้างฟาร์ม แผ่นดินไหว สงคราม
แผ่นดินสไลด์เกิดขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1959 ถึง 1972
ทำให้ประชาชนที่เหลือประมาณ 1,800 คน
ย้ายที่อยู่ไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งเป็นจุดที่ Craco ถึงคราวล่มสลาย
ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์สถาน..เป็นซากเมืองตั้งตระหง่านจนทุกวันนี้
ในที่สุดก็ครบทั้ง 10 อันดับนะครับ...
อ้างอิง mediadump.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น